บทที่ 1 บทนำ
บทนำ
“แม่ขา หนูบัวอยากทานน้ำเต้าหู้จังค่ะ”
เสียงใสดังขึ้นพร้อมมือเล็กที่เอื้อมไปเกาะแขนมารดา ดวงตากลมโตออดอ้อนขอความเห็นใจแก่ผู้ให้กำเนิดอย่างน่ารัก บัวสวรรค์ สาวน้อยหน้าตาสะสวยฉายแววความงดงามตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 10 ขวบ สาวน้อยน่ารักในวันนั้นเติบโตขึ้นมาเป็นสาวสวยในวันนี้
บัวสวรรค์อายุ 19 ย่าง 20 ปี กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐ ไม่ใช่เพียงใบหน้าที่สวยงาม จิตใจและการวางตัวก็เรียบร้อยสมกับที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากมารดา แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ลูกเมียน้อย’ บุตรที่เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจของบิดาแต่เธอก็ได้รับความรักจากมารดาชัดเชยในส่วนนั้นเสมอมา หัวใจดวงน้อยที่พยายามเข้มแข็งมักโหยหาความรักและอ้อมกอดจากบิดาที่ไม่เคยมีให้ เพราะหลังจากที่บิดารู้ว่ามารดาตั้งครรภ์ก็ตีจาก เลิกรากันไปโดยไม่กลับมาเหลียวแลลูกและเมียคนรองที่เขาไม่ต้องการ ไม่เป็นที่เชิดหน้าชูตาเหมือนภรรยาหลวงผู้เป็นลูกสาวเจ้าของโรงสี
“ได้สิลูก งั้นหนูรอซื้อน้ำเต้าหู้ที่ร้านนี้ เดี๋ยวแม่จะเดินข้ามถนนไปซื้อพวงมาลัยไปไหว้พระที่บ้านสักหน่อยนะ”
“ค่ะแม่”
บัวสวรรค์ฉีกยิ้มก่อนจะมองตามแผ่นหลังของมารดาที่กำลังเดินไปพูดคุยกับแม่ค้าน้ำเต้าหู้ที่รู้จักคุ้นเคยกัน ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มให้บุตรสาว แล้วเดินไปที่ทางม้าลายเพื่อข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อซื้อพวงมาลัยดอกไม้ไปไหว้พระ และเตรียมใส่บาตรในวันรุ่งขึ้น
“หนูบัวคนสวยวันนี้รับอะไรดีจ๊ะ”
แม่ค้าน้ำเต้าหูเอ่ยทักทายกับสาวน้อยหน้าตาน่ารักที่เป็นลูกค้าประจำกัน คุ้นเคยหน้าตาและนิสัยใจคอกันมาดี แถมบ้านก็อยู่ติดๆ กันในซอยถัดไป
“พี่มาลัยขา วันนี้หนูบัวขอน้ำเต้าหู้ไม่ใส่เครื่อง 2 ถุงปาท่องโก๋อร่อยๆ อีก 20 บาทค่ะ”
ใบหน้าอ่อนหวานฉีกยิ้มสดใสให้แม่ค้าอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปยืนรอรายงานอาหารที่สั่งด้านข้างรถเข็นเพื่อให้คิวต่อไปได้เดินเข้ามาสั่ง ชีวิตของสาวน้อยที่ใครๆ ก็คงคิดว่าอาภัพนัก มีพ่อก็เหมือนไม่มี ถ้าไม่มีแม่ที่เข้มแล้ว ป่านนี้หญิงสาวอาจต้องไปเป็นเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์ หรือทำงานในร้านนวดนาบที่ไหนสักแห่งแล้วเพราะใบหน้าของหญิงสาวหากเอ่ยปากขายให้เสี่ยแก่ๆ หื่นกามคงมีคนเรียงหน้าเข้ามาขอซื้อ ทว่าบัวสวรรค์เป็นเด็กใฝ่ดี ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพื่อวันข้างหน้าจะได้ทำงานดีๆ หาเงินมาเลี้ยงดูมารดาที่เธอรัก
“วันนี้ทำไมกลับบ้านค่ำนักล่ะหนูบัว” แม่ค้าเอ่ยปากถามพร้อมยื่นถุงน้ำเต้าหูและปาท่องโก๋ให้สาวน้อยน่ารัก ปากก็ยิ้มแย้มส่งให้ด้วยไมตรีอบอุ่น
“วันนี้แม่เลิกงานค่ำค่ะ เลยไปรับหนูบัวช้า” คนฟังเลิกคิ้วสูงมองใบหน้าของสาวน้อยที่อายุเกือบ 20 ปีแล้วยิ้มขำ
นี่มารดายังคงเป็นห่วงไปรับไปส่งลูกสาวทั้งๆ ที่เข้ามหาลัยแล้วน่ะเหรอ?
“นี่พี่ยายังไปรับหนูบัวที่มหาลัยอีกเหรอ ไหนว่าจะให้หัดไปกลับเองแล้วไง”
บัวสวรรค์หน้ามุ่ย ถอนหายใจแรงก่อนจะเอ่ยตอบอายๆ
“ก็แม่กลัวหนูบัวหลงทาง”
“หลงทาง! ฮ่าๆ หนูบัวจะอายุ 20 แล้วนะ”
“นั่นสิคะ พี่มาลัยช่วยพูดกับแม่ให้หน่อยสิคะว่าหนูบัวโตแล้ว”
หญิงวัยกลางคนที่บัวสวรรค์เรียกว่า พี่มาลัยหัวเราะร่า ส่ายหน้าอย่างเอ็นดูสาวน้อย เพราะหญิงสาวซื่อใสแบบนี้ เป็นเธอก็คงไม่กล้าปล่อยให้ลูกสาวกลับบ้านคนเดียวเช่นกัน แม้จะโตขนาดนี้แล้ว แต่เสียดายที่เอมีแต่ลูกชาย ครั้นจะฝากให้เจ้าพวกนั้นดูแลหญิงสาวก็ไม่ได้เพราะลูกคนโตของเธอเพิ่งจะเข้ามัธยมปลายเอง
“ก็แม่เขาห่วงเรา เป็นพี่พี่ก็ห่วง โน้นพูดถึงก็มาเลย”
บัวสวรรค์อมยิ้มแล้วมองตามสายตาของอีกฝ่ายไป ร่างสมส่วนยังคงมีใบหน้าสะสวยที่ละหม้ายคล้ายเธอเดินข้ามถนนมาจนถึงเกาะกลางถนนแล้ว บัวสวรรค์ยิ้มกว้างขึ้น ยกมือโบกทักทายมารดาราวกับไม่ได้เจอกันมาเป็นปี ทั้งๆ ที่เพิ่งห่างกันไม่ถึงสิบนาที
“แม่ขา!”
มารดาพยักหน้ารับรู้แล้วโบกมือทักทายกลับมาด้วยรอยยิ้ม บัวสวรรค์เดินเร็วๆ ไปรอมารดาที่ริมฟุตบาต ใบหน้าหวานยิ้มกว้างขึ้นเมื่อมารดาชูถุงขนมที่มาจากร้านสะดวก
ใบหน้าสวยสูงวัยหันมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเงยหน้าส่งยิ้มให้บุตรสาวอีกหน ระยะห่างใกล้เพียงเอื้อมมือของเธอและบุตรสาวเร่งให้ผู้สูงวัยก้าวขาลงไปบนท้องถนนที่เหมือนจะเงียบสงัดเนื่องจากเป็นถนนหลวงในแถบชานเมือง ช่วงเวลาดึกขนาดนี้จึงมีรถสัญจรไปมาสะดวก ร่างสมส่วนกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาถึงกลางถนน
ทว่า… ทุกอย่างกลับหยุดชะงักเมื่อเสียงแตรที่ดังสนั่น พร้อมแสงไฟสว่างจ้าที่สาดมากระทบร่างทำให้หัวใจกระตุกวูบ
ปี๊บ!
โครม!
“กรี๊ด แม่ขา!”
ร่างสมส่วนลอยละลิ่วขึ้นไปบนอากาศ แรงกระแทกรุนแรงจากวัตถุแข็งแรงที่ขับเคลื่อนบนถนนไร้การหยุดยั้ง สติที่เกือบขะเลือนหายปรากฏภาพใบหน้านองน้ำตาของบุตรสาวที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมถึง อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวก็จะเอื้อมถึง ทว่าก็ทำได้เพียงไขว่คว้ามือออกไปจับอากาศเท่านั้น
ร่างกายปวดร้าวและเจ็บระบมไปทั่วสรรพางค์กาย เจ็บราวกับจะขาดใจ ยิ่งเห็นใบหน้าของบุตรสาวพร่าเลือนคล้ายจะลับหาย หัวใจของมารดาที่รักลูกดั่งชีวิตก็เหมือนจะขาด เธอตายไม่ได้ หากตายไปบุตรสาวจะอยู่อย่างไร
ทำไมฟ้าถึงได้ใจร้ายกับชีวิตของเราแบบนี้…. คำภาวนาสุดท้ายก็ที่สติจะเลือนหายไป
อัก!
เสียงหล่นกระแทกของร่างสมส่วนกับพื้นถนน เลือดสีแดงฉานไหลออกมาเจิ่งนองเต็มท้องถนน ร่างกายของมารดาที่นอนแน่นิ่งโชกเลือดบีบหัวใจของคนเป็นลุกให้แหลกละเอียด บัวสวรรค์กรีดร้องสุดเสียง มือไม้เย็นเฉียบ ร่างกายชาวาบ ทุกอย่างอื้ออึงไปหมด สมองขาวโพลนจนจับใจความและเสียงร้องตะโกนของผู้คนในละแวกนี้ที่รู้จักคุ้นเคยกันดีผ่านหู และเลยผ่านไป ร่างเล็กยิ่งราวกับถูกสาปมองร่างกายที่บิดเบี้ยวผิดรูปของมารดานิ่ง น้ำตาเหือดแห้งเพราะความตกใจ
“หนูบัว! หนูบัว!”
บัวสวรรค์ไม่รับรู้อะไรนอกจากเสียงเต้นที่ช้าลงของหัวใจตัวเอง ภาพของมารดาที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมันบาดหัวใจให้ร้าวราน สมองสั่งการให้เธอเดินเข้าไปหามารดา ทว่าขากลับก้าวไม่ออก ทุกอย่างรอบกายเหมือนหยุดชะงักค้างไว้เอา
“หนูบัว หนูบัวได้ยินพี่ไหม” เสียงเรียกชื่อของพี่มาลัยทำให้บัวสวรรค์ผินหน้าไปมองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของอีกฝ่ายนิ่ง ร่างกายแข็งค้างขยับไม่ออกก่อนที่น้ำตาจะเอ่อทะลักออกมาในที่สุด
“แม่ ฮือ แม่ขา แม่!”
ร่างเล็กเซไปข้างหน้าก่อนจะถูกคว้าเอาไว้จากมาลัยที่ยืนร้องเรียกหญิงสาวหลังจากเห็นอีกฝ่ายนิ่งอึ้งเหมือนช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มาลัยถลาเข้าไปประกองกอดร่างเล็กที่เหมือนจะทรงตัวไม่อยู่เอาไว้ ลูบหลังลูบไหล่ปลอบโยนอีกฝ่าย ทำนบน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ก็ไหลทะลักออกมาเช่นกัน แรงสะอื้นไห้ร่างกายสั่นไหวเหมือนจะขาดใจของบัวสวรรค์สร้างความสะเทือนใจให้ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ ไม่ใช่แค่ความเวทนาแต่ใจหายที่สองแม่ลูกผู้สู้ชีวิตมาตลอดต้องพบเจอกับความลำบากยากแค้นที่สุดในชีวิตเช่นนี้
“แม่ขา แม่ ฮือ”
“ผมเรียกรถพยาบาลแล้วแม่ กู้ภัยก็กำลังมา” เสียงของ ‘ประณต’ บุตรชายคนโตของมาลัยทำให้หญิงวัยกลางคนพยักหน้าเข้าใจ แต่ไม่ละมือจากร่างเล็กทีก่ำลังสะอื้นไห้ราวจะขาดใจไปไหน
มาลัยกอดร่างแน่งน้อยที่ร้องไห้จนแทบเสียสติเอาไว้แน่น ก่อนจะต้องตกใจสุดขีดเมื่อบุตรชายที่ยืนอยู่ใกล้ตะโกนร้องเรียกด้วยสีหน้าแตกตื่น
“แม่!”
“พี่บัว เลือด เลือดแม่ พี่บัวเลือดออก”
เพียงได้ยินว่าบัวสวรรค์เลือดออก หญิงวัยกลางคนก็สติแตก มาลัยผละร่างบัวสวรรค์ออกมองใบหน้าสวยที่หลับตานิ่ง เลือดสีแดงไหลรินออกมาจากจมูกแล้วหัวใจกระตุกวูบ
“หนูบัว! หนูบัวของพี่!”
ประณตเข้ามาประคองร่างของบัวสวรรค์แทนมารดา เด็กหนุ่มมองสีหน้าซีดเผือดของผู้ให้กำเนิดแล้วยิ่งวิตกขึ้นไปอีก นอกจากบัวสวรรค์ที่อาการแย่ มารดาของเขาก็อาการแย่เช่นกัน ประณตช้อนตัวอุ้มร่างเล็กราวกับอีกฝ่ายเบาราวปุยนุ่นไว้ในอ้อมกอดวิ่งออกไปข้างหน้าเมื่อเห็นรถหน่วยกู้ภัยแล่นเข้ามาเทียบข้างฟุตบาท แต่ก่อนจะไปก็ไม่ลืมหันไปเรียกหาน้องชายคนกลางให้เข้ามาดูแลมารดาที่ทำท่าจะเป็นลมตามไปด้วย
“สองมาดูแม่หน่อย แม่จะเป็นลม”
ร่างตุ้ยนุ้ยของ ‘ปราณณ’ ของชายคนรองวิ่งกระหืดกระหอบมาหาพยักหน้ารับเต็มที่ก่อนจะวิ่งตรงไปหาร่างของมารดาที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ที่เดิม
ประณตอุ้มร่างบอบบางอย่างทะนุถนอมราวกับกลัวอีกฝ่ายจะปริแตกไปที่รถกู้ภัยของหน่วยอาสาที่เพิ่งแล่นเข้ามา อีกฝ่ายพอเห็นใบหน้าของหญิงสาวในอ้อมกอดของเด็กหนุ่มในชุดมัธยมปลายที่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาก็แทบจะสิ้นสติตามร่างเล็กในอ้อมแขนอีกฝ่าย
“ไอ้บัว!”
“พี่หวาน” เจ้าของชื่อสะบัดหัวไล่ความตกใจทิ้งแล้ววิ่งเข้าไปช่วยประคองร่างบอบบางที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมาบนรถ มือคว้านหาอุปกรณ์ช่วยชีพที่เกิดจำไม่ได้ว่าวางไว้ตรงไหนเสียเฉย ปากก็ตะโกนร้องบอกรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ขับรถให้ออกรถพาเพื่อนสาวของตนไปโรงพยาบาล
“เฮียยักษ์ออกรถไปโรงพยาบาลเร็ว”
รถกู้ภัยเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็วสูง ‘หวาน หรือ รพินท์’ มองใบหน้าของเพื่อนรักนิ่ง หลังจากได้รับรู้เหตุการณ์ก่อนที่เพื่อนจะสลบไปก็แทบจะปล่อยโฮออกมา มือก็ยกปาดน้ำตาที่พาลจะไหลออกมาให้ได้ทิ้ง มารดาของบัวสวรรค์โดนรถชนอาการสาหัสจนแทบไม่เหลือความหวังอะไรทั้งสิ้น เพราะจากที่ได้ยินวอร์ของกู้ภัยคันอื่น ตำรวจ และรถพยาบาลคุยกัน โอกาสรอดแทบจะเป็นศูนย์ รพินท์แอบดีใจที่เพื่อนนอนหมดสติไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น คำบอกเล่าอาการของมารดาที่ขนาดเธอเป็นแค่เพื่อนลูกสาวได้ยินหัวใจยังแทบแตกเป็นเสี่ยง
“น้ากันยา ฮือ อย่าทิ้งไอ้บัวนะคะ ฮึก”
ปราณตมองใบหน้าเนียนที่ซีดจนแทบไม่มีสีเลือดแล้วกำมือแน่น พี่บัวของเขาทำไมชีวิตต้องมาพบเจอเรื่องราวเลวร้ายไม่จบไม่สิ้น
ทำไมนะ ทำไมต้องโชคร้ายแบบนี้
หากมารดาของอีกฝ่ายเป็นอะไรไป หญิงสาวจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรกัน!
“รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไร” เสียงเข้มขรึมดุดันดังขึ้นในขณะที่เจ้าของเสียงกำลังยืนมองเหตุการณ์วุ่นวายข้างหน้านิ่ง
ดวงตาคู่คมนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลที่ซุกซ่อนภายใต้แว่นกันแดดสีชาไหวระริกเล็กน้อย น้ำเสียงเข้มดุดันที่ต้องบังคับตัวเองให้เอ่ยบับเค้นหัวใจด้านชาให้รู้สึกบางอย่างขึ้น แม้ภาพของอะไรบางอย่างจะรบกวนจิตใจของเขาอยู่ ทว่าเพราะทิฐิ และความเย่าหยิ่งที่มีทำให้เขาสะบักศีรษะไล่ทุกอย่างทิ้งไป
ฐานะทางสังคม และหน้าตาของเขาในวงการธุรกิจยังมาค่ามากเกินกว่าจะมาสูญเสียไปกับชีวิตต่ำต้อยไร้ค่าที่เกิดจากความผิดพลาดเช่นนี้ ชายหนุ่มยกมือขยับแว่นกันแดดเล็กน้อยแล้วถอยหลังเดินออกจากจุดเดิมที่ยืนมองเหตุการณ์ทุกอย่างมาตลอด
“จับตาดูคนพวกนั้นให้ดี หากใครปริปากอะไรก็ให้ใช้เงินอุดปากซะ เสียเงินเท่าไหร่ฉันไม่ว่าแต่อย่าให้ตำรวจสาวมาถึงตัวฉันได้ เข้าใจไหม”
“ครับบอส”















































