บทที่ 8 8
แล้วนี่เขาจะทำยังไงต่อไปดี....ถ้าต้องนอนอยู่บนเตียงเดียวกับแม่สาวตัวแสบอย่างวรัศยาในค่ำคืนนี้!!
ร่างสูงเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่มีผ้าขนหนูพันช่วงล่างเพียงผืนเดียว หยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ทั่วตัวและผมที่ยังเปียกน้ำจนลู่ลงมาติดใบหน้าคมสัน ทำให้เขาดูเป็นผู้ชายที่เซ็กซี่มากขึ้นอีกเป็นกอง
เขาเหล่ตามองหญิงสาวที่นอนเล่นอยู่บนเตียงกว้างเล็กน้อยก่อนจะเดินเลี่ยงๆไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเองในขณะที่วรัศยาก็ค่อยๆลุกขึ้น พยายามไม่สบตากับเขาพร้อมกับหยิบผ้าของตัวเองแล้ววิ่งหายเข้าไปในห้องน้ำทันที
เมื่ออาบน้ำเสร็จและสวมชุดที่เธอเตรียมไปผลัดเปลี่ยนในห้องน้ำแล้ว วรัศยาก็ค่อยๆเปิดประตูห้องน้ำแล้วก้าวออกมา รู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
“มองทำไม เสียดายเหรอไงที่ผมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว” เขาปรายตามองหญิงสาวพลางถามเสียงเรียบ
“ฉันโล่งใจต่างหากล่ะยะ” เธอกระแทกเสียงตอบแล้วเมินไปทางอื่น
“6โมงครึ่งแล้ว ลงไปทานข้าวเย็นกันเถอะ” เขาพูดก่อนจะเดินนำออกไปโดยมีเธอเป็นฝ่ายตามเหมือนเคย
“มาช้าไป2นาทีนะ” คุณดาวรายที่นั่งรออยู่โต๊ะอาหารอยู่แล้วพูดขึ้น ปากที่ถูกทาลิปสติกสีแดงอ่อนๆเบ้ใส่วรัศยาอย่างไม่พอใจ
“ขอโทษครับแม่” ธีรภัทรพูด พลางตบบ่าน้องชายที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านเบาๆ
“ว่าไงนายนัด กลับบ้านเย็นอีกแล้วนะ”
“ผมมัวไปทำงานบ้านเพื่อน” นัฐวัร์พูดเบาๆแล้วหันไปมองวรัศยาที่นั่งตรงกันข้ามกับเขาด้วยสายตาแปลกๆ
“อืมๆ” ธีรภัทรพยักหน้ารับรู้พร้อมกับเดินอ้อมไปนั่งคนละฝั่งกับนัฐวีร์ไปนั่งข้างๆวรัศยา
“นี่ใคร” นัฐวีร์ชี้ปลายช้อนส้อมไปทางวรัศยา
“เอ่อ...” หญิงสาวตะกุกตะกักตอบไม่ถูก ธีรภัทรเลยตอบให้เองเสร็จสรรพ
“พี่สะใภ้ของนายไง”
“พี่สะใภ้ผม??” นัฐวีร์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ดวงตาสีดำขลับมองวรัศยาอีกครั้งหนึ่งแล้วก้มลงตักข้าวเข้าปากด้วยท่าทางไม่ยินดียินร้ายโดยไม่สนใจต่อสายตาที่มองอย่างสำรวจของวรัศยาเลยแม้แต่น้อย
นัฐวีร์เป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุไม่น่าจะเกิน16ปี เขามีรูปร่างสูงโปร่งแบบวัยรุ่นทั่วๆไป ใบหน้าเขาดูคล้ายคลึงกับผู้เป็นพี่ชาย จะแตกต่างกันก็ตรงแววตา แววตาของธีรภัทรจะกรุ้มกริ่มแพรวพราวเหมือนดวงตาของคนเจ้าชู้ แต่แววตาของนัฐวีร์จะค่อนข้างกระด้างและเฉยชา ประกอบกับทรงผมที่ตัดสั้นเหมือนทรงนักเรียนชายแต่ข้างหน้ากลับไว้ยาวแถมย้อมสีแดงไว้ทั้งหัว ใช่...ดูดี วรัศยายอมรับกับตัวเองว่านัฐวีร์ทำผมแบบนี้ไม่ได้ดูน่าเกลียดแต่กลับดูเท่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่..มันก็ทำให้เขาดูเป็นเด็กร้ายๆไปเหมือนกัน
“มองไร” นัฐวีร์เงยหน้าขึ้นมาแล้วถามห้วนๆ แววตานิ่งเฉยที่ดูน่าค้นหา ส่องประกายประหลาดจนหญิงสาวต้องรีบก้มหน้าทันทีก่อนจะหยิบช้อนมา
“เปล่าจ้ะ” วรัศยาปฏิเสธ
“คราวหน้าหัดมาให้ตรงเวลาหน่อยนะ” คุณดาวรายพูดเสียงเย็น มือที่ถูกประดับด้วยแหวนเพชรหลายวงยกแก้วน้ำขึ้นจิบ
“ค่ะ” เธอรับคำเสียงเบาก่อนจะชะงัก หัวใจกระตุกวูบเมื่อเหลือบตาไปเห็นรอยยิ้มที่ยกขึ้นมาที่มุมปากของนัฐวีร์เข้าพอดี
เพราะนั่นมันไม่ใช่รอยยิ้มของความเป็นมิตรเลยสักนิด!!!
“ผมอิ่มแล้ว” นัฐวีร์รวบช้อน ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นจิบแล้วผุดลุกขึ้น
“ไม่มีมารยาทเลย แม่ยังทานไม่อิ่มเลยนะ จะมาลุกไปก่อนได้ไง” คุณดาวรายขมวดคิ้วมุ่น น้ำเสียงส่อถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
“แต่ผมอิ่มแล้ว” เด็กหนุ่มย้ำเสียงเรียบด้วยท่าทางไม่สนใจต่อท่าทางโมโหของผู้เป็นมารดาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคมหรี่ลงมองวรัศยาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหมุนร่างเดินออกไปจากห้องอาหาร
“ฉันก็อิ่มแล้ว” คุณดาวรายหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดที่ริมฝีปากพลางปรายตามองมาทางวรัศยาแล้วเมินหน้าหนีก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปอีกคน
“นี่แหละ งานของเธอ” ธีรภัทรพูดยิ้มๆ ดวงตาแพรวพราวเหลือบมองมาทางเธออย่างเอาใจช่วย
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำอย่างหนักใจ เธอรู้แล้วว่าทำไมเงินเดือนของเธอถึงสูงนัก แม่สามีก็ร้าย สามีก็หื่น แถมน้องสามียังทำท่าไม่ชอบใจเธอตั้งแต่แรกเห็นเสียอีก....เงิน3หมื่น ดูจะน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ สำหรับงานชิ้นนี้
“เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอกหน่อยนะ คุณอยู่ได้ใช่หรือเปล่า” เขาหันมาถามด้วยท่าทางห่วงใย พลางตักชิ้นกุ้งเข้าปาก
“ฉันอยู่ได้ค่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
“คุณไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวตอนกลางคืนผมจะมานอนเป็นเพื่อน” พูดจบ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดังด้วยความพอใจเมื่อเห็นพวงแก้มของวรัศยาเป็นสีชมพูขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“อย่ามาทะลึ่งนะ” เธอพูดเสียงเขียวแล้วส่งค้อนไปให้ชายหนุ่ม
“ครับๆ” ชายหนุ่มรับคำพลางยกแก้วน้ำขึ้นกระดกลงคอรวดเดียวหมดแก้ว
“ผมไปก่อนนะ” เขาพูดก่อนจะรีบลุกขึ้นก้าวออกไปอีกคนจนเหลือเพียงวรัศยาคนเดียวเท่านั้น เธอมองเก้าอี้หลายๆตัวที่ตอนนี้ว่างเปล่าแล้วก็ต้องถอนหายใจ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าความรวยไม่ใช่ความสุขเสมอไป บ้านหลังนี้หรูหรา มีพร้อมด้วยทรัพย์สินเงินทอง แต่ทว่า...ความรักใคร่อบอุ่น แทบจะไม่มี...
