บทที่ 5 Chapter5
“พ่อทำแบบนั้นไม่ได้นะ เดือนหน้าไหมจะแต่งงานแล้ว ทำอย่างนี้ทำร้ายจิตใจไหมมากเลยนะ” กัญญาภรณ์รีบค้านความคิดบิดา
“แล้วจะให้ทำยังไง เอ็งก็ไม่ยอมทำตามที่เถ้าแก่บอกก็ต้องให้ไหมไปเป็นเมียนายหัวสิงห์แทน ไม่งั้นเราไม่เหลืออะไรแน่”
พจน์กลัดกลุ้มไม่น้อย นึกโทษตัวเองที่ไม่น่าหวังรวยทางลัดและเชื่อคำพูดของป๋าจิตมากเกินไป หลงลมจนตั้งบ่อนขึ้นมา
“เรื่องหนี้เจรจาไม่ได้เหรอพ่อ ขอผ่อนผันเขาไปก่อน”
ผู้พูดพยายามทำใจเย็นและทำให้ตัวเองมีสติมากที่สุดมีความคิดที่ว่า ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้
“ถ้าเจรจาได้จะเรียกเอ็งกลับมาบ้านทำไม ไม่จนปัญญาก็คงไม่กวนเอ็งหรอก” พจน์ทำหน้าเครียดจัด “เถ้าแก่เป็นคนดีมาก ผัดผ่อนให้หลายครั้งแล้ว ให้จ่ายแต่ดอก แต่ที่ต้องยึดเพราะสัญญาระบุไว้ว่า ภายในหนึ่งปีครึ่งถ้าหาเงินต้นมาให้ไม่ได้ครึ่งหนึ่งที่ดินทั้งหมดจะถูกยึด แล้วก็ถึงกำหนดแล้วด้วย”
น้ำเสียงพจน์เศร้าหนักขึ้นไปอีก
“พ่อเอ็งก็กลุ้มนะ ไม่รู้จะหาเงินจากที่ไหน ไปหยิบยืมใครจะมีเงินตั้งสิบล้าน พอดีเถ้าแก่เสนอวิธีนี้ แม่ก็เลยเรียกเอ็งกลับบ้านไง” สายหยุดรู้นิสัยลูกสาวคนโตดีว่าดื้อรั้นมากแค่ไหน ไม่ยอมคนถ้าไม่จนตรอกจริงๆ ยิ่งเรื่องที่ให้ไปเป็นเมียนายหัวสิงห์ คนที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้ายิ่งยากเพิ่มหลายเท่า “ก็อย่างที่พ่อเอ็งพูด ถ้าแกไม่ยอมก็คงต้องส่งไหมไปแทน ส่วนเรื่องแต่งงานก็ช่างมันล้มเลิกได้นี่ ที่สำคัญถ้าทางโน้นรู้ว่า บ้านเรามีหนี้สินเป็นสิบล้านก็คงไม่อยากให้แต่งงานด้วย”
“พ่อกับแม่ทำอย่างนี้ไม่นึกถึงใจหนูกับใจไหมบ้างเลย หนูเป็นลูกนะไม่ใช่ผลไม้ที่จะประเคนให้ใครกินก็ได้” ไม่ใช่ว่ากัญญาภรณ์ไม่อยากช่วยบิดามารดา ทว่าวิธีการนี้มันไม่ใช่ เธอรับไม่ได้ที่อยู่ๆ ต้องไปเป็นเมียนายหัวสิงห์ที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้า เธอทำใจยากกับเรื่องที่บุพการีให้ทำ “เดี๋ยวหนูจะไปพูดกับเถ้าแก่สันต์เอง เผื่อไม่ต้องทำเรื่องบ้าๆ นั่น”
“เอาสิ อยากไปก็ไป ถ้าได้ก็ดี” พจน์ไม่ห้าม “เอ็งไปกับไอ้ยูก็ได้ ให้ไอ้ยูขับรถไปให้ เถ้าแก่อยู่บ้านหลังใหม่ เอ็งไม่รู้จักหรอก แต่ไอ้ยูรู้จัก”
“เอ็งไปกับแพรก็คอยปรามๆ มันบ้างนะ ไปประนอมหนี้ไม่ใช่ไปแดกหัวเขา ท่องไว้ว่าเขาเป็นเจ้าหนี้ ทำห่ามๆ ใส่เถ้าแก่ระวังจะโดนยึดที่ดิน ยึดบ้านก่อนกำหนด”
สายหยุดสั่งชุติมา กัญญาภรณ์หน้างอใส่บิดามารดา ก่อนเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับชุติมา
“มันจะยอมเหรอพี่ พี่ก็รู้นิสัยมันนะ” สายหยุดพูดกับสามีด้วยสีหน้าหนักใจ
“แผนสอง” พจน์เอ่ยสั้นๆ ใบหน้ายิ้ม สายหยุดหยิบซองอีโนออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พร้อมกับถอนหายใจไม่คิดว่าตนต้องแสดงละครเพื่อให้ลูกสาวคนโตจอมห่ามยอมทำตามข้อเสนอของเถ้าแก่สันต์
ณ บ้านเถ้าแก่สันต์
บ้านหลังใหญ่ตั้งตระหง่านบนเนื้อที่กว่าสองไร่ เป็นบ้านที่ปลูกสร้างมาแล้วสองปี พื้นที่ใช้สอยในบ้านร่วมเจ็ดร้อยตารางเมตร พื้นที่โดยรอบเป็นต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกให้ความร่มรื่น มีสนามหญ้าไว้สำหรับนั่งพักผ่อนยามเช้าหรือเย็น
ภายในบ้านตกแต่งเรียบง่าย ส่วนใหญ่เป็นเฟอร์นิเจอร์จากบ้านหลังเก่าถูกนำมาไว้ที่นี่ รวมถึงของโบราณหายากที่เจ้าของบ้านสะสมมาหลายสิบปีก็ย้ายมาไว้บ้านหลังนี้เช่นกัน จะซื้อเพิ่มเติมก็คงเป็นโคมไฟระย้าราคาเรือนแสน และของตกแต่งบ้านอีกสามสี่อย่าง
ยามบ่ายของทุกวันเถ้าแก่สันต์เจ้าของบ้านจะนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น นั่งดูไปจิบชาไป บางครั้งปานวาดหรือที่ใครๆ เรียกว่าเถ้าแก่เนี้ยจะเข้ามานั่งข้างๆ ชวนคุยและดูทีวีไปด้วยกัน ทว่าบ่ายวันนี้ต่างกับทุกวัน เพราะในห้องนอกจากจะมีภรรยานั่งร่วมห้องด้วย ยังมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนั่งอยู่ใกล้ๆ และกำลังตกใจกับเรื่องที่บิดากำลังให้ทำ
“พ่อว่าไงนะ จะให้ผมแต่งงานมีเมียงั้นหรอ”
สิงหนาทหรือนายหัวสิงห์ วัยสามสิบห้าปีลูกชายคนเดียวของเถ้าแก่สันต์และนางปานวาดเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจที่รู้ว่า บิดาต้องการให้ตนทำสิ่งใด
“แกจะตะโกนทำไม ทำเป็นตกอกตกใจไปได้” เถ้าแก่สันต์รู้อยู่แล้วว่าสิงหนาทต้องตกใจและคงค้านหัวชนฝา แต่ไม่ว่าจะค้านหนักแค่ไหน คราวนี้เขาไม่มีวันยอมเด็ดขาด “แค่ฉันให้แกแต่งงานมีเมียแค่เนี่ย ทำหน้าอย่างกับให้ไปตาย”
“ไม่เอานะพ่อ ผมไม่อยากมีเมีย” สิงหนาทปฏิเสธทันที
“ทำไมถึงไม่อยากมี เมื่อก่อนแกกระหายจะมีเมียมากไม่ใช่เหรอ หรือว่าแกเปลี่ยนใจเป็นเกย์”
คนฟังถึงกับของขึ้นที่ถูกกล่าวหาแบบนี้ โดยเฉพาะออกมาจากปากบิดาที่รู้ทั้งรู้ว่า ตนนั้นแมนทั้งแท่ง
“พ่อก็รู้ว่าผมไม่ใช่เกย์ แล้วพ่อก็รู้ด้วยว่าทำไมผมถึงไม่อยากมีเมีย” สิงหนาทโต้บิดา “ผมอายุแค่สามสิบห้าเองนะพ่อ ผมไม่อยากมีเมีย ถ้าเมียคนนั้นไม่ใช่คนที่ผมหามา ผมซื้อกินอย่างทุกวันนี้ก็ไม่เห็นเดือดร้อน”
“มันไม่เดือดร้อนแกแต่เดือดร้อนฉันกับแม่แกไงล่ะ”
“เดือดร้อนยังไงพ่อ” สิงหนาทถามกลับ
