บทที่ 3 Chapter 3
ตกเย็น
“ตาหวาน นังตาหวาน” เสียงยายนันร้องเรียกหลานสาวตัวดีที่เดินหาทั่วบ้านและรอบบ้านแต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา นางจึงเดินไปทางหลังบ้านที่ปลูกต้นมะม่วงไว้หลายสิบต้น รวมทั้งต้นชมพู่ ต้นกล้วยแล้วตะโกนเรียก “อีหวาน มึงอยู่ไหน”
เจ้าของชื่อตอนนี้นั่งอยู่บนกิ่งไม้ของต้นมะม่วงต้นใหญ่ที่ออกลูกหลายสิบลูก ตาหวานชะโงกหน้ามองยายนันที่ยืนเท้าเอวอยู่ใต้ต้นไม้
“ยายจ๋า หนูอยู่นี่” ยายนันเงยหน้าตามเสียง
“มึงขึ้นไปทำไมบนนั้น ลงมาเดี๋ยวนี้เลย”
“ขึ้นมาเก็บมะม่วงไปให้คุณยาย” ตอบยายนันจบก็ปีนลงมาจากต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว
“นี่ไงยาย ได้หลายลูกเลย” ตาหวานชูถุงพลาสติกที่เอาขึ้นไปด้วย เพื่อใส่ลูกมะม่วงให้ยายนันดู
“มัวแต่เก็บมะม่วงอยู่ได้ นี่มันกี่โมงแล้วทำไมไม่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวก็ไปไม่ทันนัดหรอก” ยายนันเสียงเขียวใส่ มองหน้าหลานรักด้วยความไม่พอใจ แล้วที่นางต้องตามหาตัวตาหวานเป็นเพราะเย็นนี้ตาหวานมีนัดสำคัญที่ไร่เฟื่องฟ้า พะเยาว์สั่งให้ตาหวานไปร่วมงานเลี้ยงเล็กๆ ต้อนรับการกลับมาของเตศวร ถือเป็นการดูตัวไปในทีด้วย เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกในรอบหลายเดือนที่เตศวรกับตาหวานไม่ได้เจอกัน
“โหยาย อีกตั้งชั่วโมงนึงเดี๋ยวค่อยอาบน้ำก็ได้ ขี่จักรยานไม่ถึงห้านาทีก็ถึง” ตาหวานอิดออด “ยายจะรีบไปไหนเนี่ย ไร่ก็อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง”
วันนี้ตาหวานทั้งตื่นเต้นและดีใจที่จะได้เจอเตศวร อันที่จริงเขามาถึงไร่เฟื่องฟ้าตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ทว่าพอเขามาถึงก็ขึ้นห้องนอนพักผ่อน เนื่องจากวันก่อนเขาต้องผ่าตัดเด็กเป็นโรคเท้าปุกนานถึงห้าชั่วโมงครึ่ง ก่อนเดินทางไปยังโรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่งเพื่อผ่าตัดกระดูกเด็กอีกเครส เคสนี้ใช้เวลานานร่วมสี่ชั่วโมงกว่าจะแล้วเสร็จ เตศวรจึงหลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน พะเยาว์จึงจัดงานเลี้ยงต้อนรับหลานชายวันนี้แทน
“ไปอาบน้ำแต่งตัวเดี๋ยวนี้เลย กว่าจะแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จก็ใกล้เวลาพอดี” ยายนันสั่ง
“ต้องแต่งหน้าด้วยเหรอยาย”
“ก็ใช่น่ะสิ แม่นายให้คนเอาชุดมาให้แก แขวนอยู่ที่บ้าน แล้วให้คนมาแต่งหน้าทำผมให้แกด้วย ตอนนี้ก็รออยู่ที่บ้านเหมือนกัน ถ้าแกแต่งตัวธรรมดาฉันไม่เรียกแกให้เมื่อยตุ้มหรอก”
วันนี้ถือเป็นวันพิเศษ พะเยาว์ไม่อยากให้เตศวรมองว่าตาหวานยังเด็ก นางจึงสั่งซื้อชุดและให้ช่างแต่งหน้าทำผมมาเนรมิตให้ตาหวานเป็นสาวสวยโตเต็มวัย
“รู้แล้วน่ายาย”
“รู้แล้วก็รีบไปสิวะ ข้าไม่อยากให้แม่นายคอยนาน”
ตาหวานทำตามคำสั่งยายนัน เดินกลับเข้าไปบ้านไปใจเต้นไป ตื่นเต้นกับเวลาที่จะได้เจอหน้าเตศวรที่งวดเข้ามาทุกขณะ ทั้งๆ ที่ตาหวานรอคอยที่จะได้เห็นหน้าเขามานานแล้ว น่าจะไม่ตื่นเต้นแท้ๆ แต่ทว่าพอใกล้เวลาที่การรอคอยสิ้นสุดลง หล่อนกลับตื่นเต้น ไม่รู้ว่าหากได้เจอหน้าเขาจริงๆ จะประคองความตื่นเต้นได้หรือไม่
เวลาแห่งความตื่นเต้นของตาหวานเดินทางมาถึง หล่อนเดินเข้าไปในห้องทานอาหารของบ้านพะเยาว์ด้วยขาค่อนข้างสั่น แต่ดูเหมือนหัวใจจะสั่นยิ่งกว่า เมื่อเห็นเตศวรนั่งหันหลังให้ตน
พอเดินเข้าไปก็พบว่า วันนี้มีคนมาร่วมทานอาหารมื้อนี้ด้วยสามคน ซึ่งทั้งสามคนหันหน้ามาทางตน และเป็นคนที่ตาหวานไม่รู้จัก ได้แต่ส่งยิ้มให้ทั้งสามที่มองมาที่ตนด้วยสายตาแตกต่างอารมณ์
ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกับเตศวร มองตาหวานด้วยความสนใจอย่างเปิดเผย เขายิ้มให้ตาหวานที่ก้าวเดินเข้ามา หญิงสาวที่นั่งตรงกลางหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณดีราวกับเป็นลูกผู้ดี ใบหน้าสตรีผู้งดงามนิ่งเรียบ เสมือนไม่ยินดียินร้ายกับการเข้ามาของตาหวาน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นบุรุษที่มีลักยิ้มกลางแก้ม สายตาที่มองมายังตาหวานเปี่ยมด้วยมิตรไมตรี
เตศวรมองสีหน้าของเพื่อนทั้งสามที่แตกต่างอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด แววตาของธนา ลูกชายเจ้าของห้างสรรพสินค้าทูเอส ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในย่านพัฒนาการ ทำให้เตศวรรู้สึกได้ว่า ธนากำลังสนใจคนที่กำลังมอง ด้วยความอยากรู้หรืออะไรดลใจมิทราบได้ เตศวรหันหลังไปมองตามสายตาของธนา
“มาแล้วเหรอตาหวาน นั่งสิ นั่งใกล้ๆ เตนะลูก”
คำพูดของพะเยาว์เรียกความตกใจให้เตศวรมากทีเดียว เพราะตาหวานที่เขาเคยเห็นในอดีต ตรงกับข้ามกับตาหวานที่เห็นตอนนี้
เตศวรไม่ได้เจอตาหวานนานแล้ว ก็น่าจะราวๆ หนึ่งปีครึ่ง ครั้งล่าสุดที่เห็น เขาจำได้ว่าตาหวานสวมเสื้อยืดสีชมพูกับกางเกงยืนขาสั้นพอดีเข่า สวมรองเท้าผ้าใบกลางเก่ากลางใหม่ เส้นผมยาวปะบ่า วันนั้นตาหวานเอากล้วยน้ำว้ากับผักสวนครัวมาให้พะเยาว์ เขาได้มองตาหวานแวบเดียว โดยไม่ได้ทักทาย รูปลักษณ์ของตาหวานวันนี้ต่างกับวันนั้นลิบลับ
ตอนนี้หล่อนโตที่จะ ‘ทำ’ อะไรต่อมิอะไรได้แล้ว แค่คิดเพียงแวบเดียว ขนเส้นเล็กเส้นน้อยก็ลุกชัน รวมทั้งอย่างอื่นก็ลุกเช่นกัน
ตาหวานสวมชุดเดรสแขนกุดสีชมพูอ่อนแบบกระโปรงบานสั้นเหนือเข่า เส้นผมยาวสลวยถูกไดร์เป็นเส้นตรง ใบหน้าถูกเติมแต่งเพียงน้อยนิด คิ้วกันให้เป็นระเบียบ ริมฝีปากจิ้มลิ้มเคลือบด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อน หล่อนสวยใสเป็นธรรมชาติ แต่งนิดๆ หน่อยๆ เพิ่มความสวยงาม ซึ่งตาหวานก็สวยจริงๆ สวยกว่าแต่ก่อนหลายสิบเท่า ชุดที่ตาหวานสวมใส่ส่งเสริมให้ดูเป็นสาวเต็มวัย เตศวรมองว่าที่แม่ของลูกตาค้าง พะเยาว์ยิ้มเมื่อเห็นอาการของหลานชาย
“ค่ะคุณยาย” ตาหวานรับคำสั่ง เดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างข้างเตศวร
“เอาล่ะ ย่าจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักตาหวานอย่างเป็นทางการนะ ผู้หญิงสวยๆ น่ารักคนนี้นี่แหละคือตาหวาน ตาหวาน เพื่อนๆ ของเตจ๊ะ...”
พะเยาว์แนะนำคนที่ไม่รู้จักกันได้รู้จักกัน ตาหวานที่อายุน้อยกว่า พนมมือไหว้สองหนุ่มกับหนึ่งสาว ก่อนหันมาไหว้เตศวรเป็นคนสุดท้าย
และนั่นทำให้ทั้งคู่ได้มองเห็นหน้ากันในระยะใกล้ หัวใจตาหวานสั่นเมื่อเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเตศวร ที่ความหล่อของเขาต้องพูดได้ว่า หล่อวัวควายตายล้ม
‘โอ๊ย!...อยากเป็นลม’
ตาหวานคิดในใจ
ส่วนเตศวรก็มองหน้าตาหวานนิ่ง พินิจมองเครื่องหน้าตาหวานที่วันนี้เสมือนนางฟ้าแปลงกาย เขาไม่คิดว่า ตาหวานจะโตเป็นสาวสะพรั่ง ทั้งที่เมื่อวานยังเห็นหล่อนกระโดดเชือกกับลูกคนงานอยู่เลย แต่วันนี้กลายเป็นคนละคน หล่อนไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ตาหวานเป็นแม่พันธ์สมกับที่พะเยาว์บอก
ตาหวานยิ้มเขิน หน้าระเรื่อ หลบสายตาของเตศวรที่เอาแต่จ้องมองตน ฝ่ามือทั้งสองข้างถูกันไปมา หัวใจก็เต้นแรงแล้วเต้นแรงอีก อยากเอาหน้ามุดใต้โต๊ะหลบสายตาร้อนแรงของเตศวร
สามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองดูเตศวรกับตาหวานสลับกันไปมา ธนาเริ่มรู้ตัวแล้วว่า ตาหวานไม่ใช่ของตน เมื่อครู่เขาหลงลืมไปว่า ตาหวานกำลังเข้ามาอยู่ในฐานะใดของเพื่อนรัก ส่วนนทียิ้มกับความสวยใสของตาหวาน จนเขานึกอยากจะเป็นสาววัยใสบ้าง
กังสดาลพยายามระงับความไม่พอที่เห็นเตศวรให้ความสนใจตาหวานอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขามักพูดกับตนเสมอว่า ตาหวานยังเด็ก เขาไม่อยากพรากผู้เยาว์ ไม่นิยมมีความสัมพันธ์กับสตรีที่มีอายุห่างกับตนสิบห้าปี ทว่าตอนนี้เตศวรทำให้หล่อนคิดว่า ทุกคำพูดของเขา ตรงกันข้าม
“ย่าว่า เตเลิกมองหวานดีกว่านะ ย่าหิวแล้ว” พะเยาว์บอกหลานชายที่เหมือนกับว่าเพิ่งรู้สึกตัว รีบหันมาพูดกับคนเป็นย่า
“ครับๆ กินกันเลยครับ” เตศวรพูดเมื่อรู้สึกตัวว่า เขามองหน้าตาหวานเพลินไปหน่อย
เรื่องที่พะเยาว์คาดคิดว่าจะได้เห็นก็เป็นไปตามความหวังนั้น เตศวรมีท่าทีสนใจตาหวาน เด็กหญิงกะโปโลในสายตาของหลานรัก ทว่าตอนนี้ตาหวานเป็นสาวเต็มวัย สวยสะพรั่งราวกับต้นไม้ที่เติบโตมากพอจะออกดอกออกผล เป็นดอกไม้ที่แมลงตัวผู้อยากเกาะดอมดม
พะเยาว์เชื่อมั่นว่า ความสวย ความสดใสไร้เดียงสาของตาหวานจะดึงหัวใจของเตศวรได้ไม่ยาก
