บทที่ 9 Chapter 9

Chapter 9

และแล้วก็มาถึงวันเกิดของตาหวาน พะเยาว์เป็นเจ้าภาพจัดงานวันคล้ายวันเกิดให้ว่าแม่ของเหลนในอนาคต แล้วเป็นงานวันเกิดที่ไม่ได้จัดขึ้นแบบธรรมดา นางปิดไร่เฟื่องฟ้า เลี้ยงอาหารคนงานทุกคน และเลี้ยงแบบโต๊ะจีนอีกด้วย ไม่เพียงแค่นั้นยังจัดจ้างดนตรีมาให้ความสนุกกับทุกคนที่มาร่วมงาน มีพื้นที่ไว้สำหรับเต้นรำ รอบๆ ไร่ตกแต่งด้วยไฟหลากสีสรร

ด้วยงานฉลองวันคล้ายวันเกิดที่พะเยาว์จัดให้ นำพาความตื่นเต้นให้ตาหวานไม่น้อย เพราะเป็นงานเลี้ยงวันเกิดที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต ปีที่ผ่านมาหล่อนทำเพียงแค่ตักบาตรในตอนเช้า ไม่มีเค้กวันเกิด ไม่มีงานเลี้ยง ไม่มีคนอื่นอวยพรวันเกิดนอกจากคนในครอบครัว ทว่าวันนี้ไม่เหมือนเดิม นอกจากจะมีคนอวยพร ยังมีของขวัญวันเกิดให้หล่อนอีกด้วย

ทว่ามีของขวัญชิ้นหนึ่งที่ตาหวานดีใจเป็นที่สุด ของขวัญชิ้นนั้นเป็นของเตศวรที่ให้จักรยานแม่บ้านสไตล์วินเทจย้อนยุคสีน้ำตาล ที่มีทั้งความสวยงามและคงทน สร้างความตื่นเต้นและดีใจที่ได้จักรยานคันใหม่ให้ตาหวานไม่น้อย

“สัญญากับฉันนะว่า อย่าให้ผู้ชายคนไหนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยาน แล้วก็ห้ามให้ผู้ชายคนไหนขี่จักรยานแล้วเธอนั่งซ้อน นอกจากฉันคนเดียว”

เตศวรสั่งตาหวานหลังจากให้จักรยานเป็นของขวัญ

“แล้วถ้าหนูให้จ้อน เสริม ด้วง เม่านั่งซ้อนท้ายได้หรือเปล่าคะ”

ชื่อที่ตาหวานกล่าวมาคือลูกชายคนงานในไร่ที่แต่ละคนอายุไม่ถึงสิบเอ็ดปี มีจ้อนที่อายุน้อยที่สุดคือแปดปี

“พวกนั้นยกเว้นได้” เตศวรตอบ

“ค่ะ หนูจะทำตามที่คุณเตสั่ง” คนสั่งยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายเชื่อฟัง

“ชอบจักรยานที่ฉันให้ไหม”

“ชอบค่ะ ชอบมากๆ ด้วย หนูไม่เคยมีจักรยานสวยขนาดนี้ ที่ใช้อยู่ก็ใช้มาเจ็ดแปดปีแล้วค่ะ”

“แล้วชอบคนให้ไหม” คำถามนี้ตาหวานชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย

“หนูไปหาคุณยายก่อนนะคะ”

ตาหวานเลือกการเดินหนีแทนที่จะตอบ หล่อนคงไม่กล้าตอบออกไปแน่นอน จะโกหกเขาก็กลัวบาปกรรมเพราะพูดปด ทางที่ดีไม่อยู่ตรงนี้ดีที่สุด

เตศวรยืนยิ้มกับท่าทางขี้อายของตาหวาน ที่มองแล้วรู้สึกถึงความน่ารักและสดใสของหล่อน

“ไอ้เต แกบ้าหรือเปล่าวะ ยืนยิ้มอยู่ได้คนเดียว” ธนาที่เดินมาเห็นเตศวรยืนยิ้มอยู่ อดที่จะถามไม่ได้

“คนมีความสุขจะให้ยืนร้องไห้หรือไง” หมอหนุ่มกวนกลับ

“อ๋อ ฉันลืมไปว่า วันนี้เป็นคืนแรกที่แกจะปั้มลูก” ธนาเริ่มแหย่ “ขอให้สำเร็จนะโว้ย อย่าทำตัวเป็นคนไร้น้ำยาล่ะ ไม่งั้นขายหน้าแย่เลย”

“ไม่ต้องห่วง ระดับฉันแล้ว ไม่นานเห็นผลแน่นอน”

เตศวรคุยโว เริ่มหวั่นใจว่า ถ้าหากตนมีลูกช้าคงได้ถูกธนาและเพื่อนล้ออีกยาวแน่

“เออฉันจะคอยดู จะคอยฟังข่าวดี” พูดจบ ธนาก็ยกนาฬิกาข้อมือดู “คุณย่าบอกว่าฤกษ์คือสองทุ่มใช่ไหม นี่ก็เหลืออีกชั่วโมงนึง แกคงอยากให้ถึงเวลานั้นเร็วๆ สิท่า”

“ฉันเฉยๆ ทำไมต้องตื่นเต้นด้วย” เตศวรปากไม่ตรงกับใจ

“จริงอ่ะ งั้นฉันให้คุณย่าเลื่อนเป็นสี่ทุ่มดีไหม”

“จะเลื่อนทำไมล่ะ คุณย่าคงอยากให้ฉันทำลูกเร็วๆ ก็อย่าขัดใจท่านเลย” เตศวรมีข้อแก้ตัวที่ดี ดีจนธนาไม่เชื่อ “ฉันว่าไปดื่มกับไอ้นทีดีกว่า ป่านนี้มันคอยเราสองคนดวลเหล้าแล้ว”

ธนาอมยิ้มกับท่าทางของเตศวรที่ดูเหมือนจะปกติ ไม่ตื่นเต้น แต่เขารู้ว่าเพื่อนรักตื่นเต้นและรอคอยให้ถึงเวลาส่งตัวเร็วๆ  ทว่าธนาก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกที่เตศวรจะตื่นเต้น หากเป็นเขาก็คงตื่นเต้นไม่แพ้กัน เป็นเพราะว่าที่แม่ของลูกน่าฟัดใช่เล่น ธนามีความมั่นใจอย่างหนึ่งว่า งานวิวาห์ของเตศวรกำลังมาถึง

เตศวรกับธนาเดินไปสมทบกับนทีและเพื่อนอีกสองสามคน สังสรรค์ตามประสาเพื่อน ขณะที่เตศวรกำลังพูดคุยกับเพื่อน สายตาเขาก็มองไปยังตาหวานตลอดเวลา เขาเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อเห็นชายหนุ่มวัยรุ่นที่เป็นลูกหลานคนงานในไร่ และเป็นที่คุ้นเคยกับตาหวานแวะเวียนมาพูดคุยหรือทักทาย เตศวรไม่ชอบใจนักที่ตาหวานคุยกับชายอื่น อยากเดินไปแทรกตรงกลางแล้วยืนฟังว่า คุยอะไรกัน

เมื่อเกิดความรู้สึกนี้ เตศวรไม่เข้าใจตัวเองว่า รู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไร มันไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเลย ยิ่งมองเห็นยิ่งขัดใจ พาลให้อารมณ์เสีย อยากจะก้าวเท้าไปหาตาหวาน ประกาศให้ชายหนุ่มที่เข้ามาพูดคุยว่า อย่ายุ่งกับคนของเขา แต่อีกใจก็ยั้งไว้ เพราะเขาไม่มีเหตุผลที่ทำเช่นนั้น

นั่นสิ...ถ้าทำตามใจคิดต้องมีเหตุผล

รอให้ผ่านคืนนี้ไปก่อน เตศวรคิดว่าตัวเองมีเหตุผลที่จะไม่ให้ชายหน้าไหนเข้าใกล้ตาหวาน เป็นเพราะตาหวานคือเมียเขา เมียที่ชายอื่นใดอย่าริมายุ่งเกี่ยว

บทก่อนหน้า
บทถัดไป