บทที่ 1 ความหลังฝังใจ (30%)

ห้าปีที่แล้ว

ผืนนภาที่ปกคลุมกรุงสตอกโฮล์ม เมืองหลวงของประเทศสวีเดน ในเย็นย่ำค่ำวันนี้ดูมืดครึ้มและมัวหม่น อันเนื่องมาจากพายุได้เริ่มตั้งเค้าโหมกระหน่ำตั้งแต่ตอนหัวค่ำ เม็ดฝนห่าใหญ่เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาราวกับฟ้ารั่ว สลับกับเสียงฟ้าคำรามดังสนั่นหวั่นไหว บ้างก็มีแสงแปลบปลาบจากสายฟ้าแหวกม่านนภากาศฟาดดิ่งลงสู่พสุธา เป็นปกติของการย่างเข้าสู่ฤดูฝน หน้าฝนปีนี้มาเร็วกว่าทุกปี

มาร์โบโล คอฟอร์ด เจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลแห่งน่านน้ำท้องทะเลบอลติก กำลังกอดอกนั่งตัวตรงอยู่บนรถยนต์คันหรูจากค่ายรถชั้นนำของโลกที่กำลังวิ่งฝ่าสายฝนมาด้วยความเร็วปานจรวด ใบหน้าหล่อเหลาฉายชัดไปด้วยความกลัดกลุ้มกังวลใจมากล้น นัยน์ตาสีควันบุหรี่เครียดเขม็งและมัวหม่น ริมฝีปากหยักโค้งราวคันศรที่มักเอื้อนเอ่ยคำประกาศิตอยู่เป็นนิจ มาบัดนี้มันกลับถูกเจ้าตัวเม้มสนิทเกือบเป็นเส้นตรง จนลูกน้องที่ทำหน้าที่เป็นสารถีและนั่งมาด้วยกันในรถไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ หรือปริปากแย้งเมื่อเจ้านายออกคำสั่งให้เหยียบคันเร่งอย่างไม่คิดชีวิต ความอึดอัดกำลังแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วทั้งคันรถ

เมื่อทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งว่าน้องสาวของเขา ที่เจ็บออดๆ แอดๆ มาเป็นเวลาเกือบสองเดือนเต็มมีอาการกำเริบขั้นรุนแรง มาร์โบโลก็โยนหน้าที่รับผิดชอบทั้งหมดในค่ำคืนนี้ให้ที่ปรึกษาอาวุโสของบริษัทรับช่วงดำเนินการต่อ แล้วร่างสูงสง่าก็เดินลิ่วมาขึ้นเครื่องบินส่วนตัว แต่เนื่องจากสภาพอากาศไม่เป็นใจ ทำให้เจ้าพ่อหนุ่มต้องสั่งให้นักบินเอาเครื่องลงที่ลานจอดบนดาดฟ้าของอาคารสำนักงานแกรนด์เพิร์ลในกรุงสตอกโฮล์ม ก่อนที่พายุลูกใหญ่จะมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้าตามคำพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา จากนั้นก็สั่งให้ลูกน้องบึ่งรถกลับบ้านของตนในเมืองคาลมาร์ด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้

มิเชล คอฟอร์ด ต้องทำการผ่าตัดเอาเด็กในครรภ์ซึ่งมีอายุครบแปดเดือนออกอย่างเร่งด่วน ตอนนี้หมอกำลังรอญาติคนไข้มาเซ็นใบอนุญาตอยู่ นั่นก็หมายความว่าหากเขาไม่เซ็นยินยอมให้หมอทำตามเห็นสมควร เขาก็อาจจะต้องเสียทั้งน้องสาวและหลานไปในคราเดียวกัน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มาร์โบโลรับไม่ได้ และคงจะไม่มีวันยอมรับมันไปชั่วชีวิต

‘ทำไมพระเจ้าถึงได้ใจร้ายนัก หัวใจของท่านทำด้วยอะไร ถึงไม่ปรานีมนุษย์ตาดำๆ อย่างเขาบ้าง’ เจ้าพ่อหนุ่มได้แต่รำพึงรำพันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่คนเดียวเงียบๆ กระแทกลมหายใจร้อนระอุออกมายืดยาว ก่อนจะยกฝ่ามือใหญ่ขึ้นลูบใบหน้าคร้ามคม ดวงตาฉายแววหม่นเศร้าระคนเจ็บปวด

“ขับให้มันเร็วกว่านี้ไม่ได้เหรอไงวะ ไอ้ฟรานซิส” น้ำเสียงกระด้างของมาร์โบโล คอฟอร์ด เอ่ยกับผู้ทำหน้าที่สารถีเป็นหนที่สอง

ตั้งแต่ก้าวขาขึ้นรถคันหรู หัวใจของเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ก็บีบคั้นจนแทบแหลกสลาย ความรู้สึกยากจะบรรยายกำลังถาโถมเข้ามาไม่ต่างจากมรสุมลูกใหญ่ และหนึ่งในนั้นคือความหวาดกลัวกับการสูญเสีย ทั้งที่คนอย่างมาร์โบโล คอฟอร์ด ไม่เคยต้องครั่นคร้ามกับอะไรมาก่อนในชีวิต หากแต่ครั้งนี้เขากลับกลัวว่าน้องสาวที่รัก ผู้เปรียบเสมือนครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่จะทิ้งเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ

“ต้องขออภัยด้วยครับนาย รถคงไม่สามารถวิ่งด้วยความเร็วได้มากไปกว่านี้แล้ว” สองหนุ่มที่นั่งคู่กันอยู่ตอนหน้าของรถยนต์ราคาหลายสิบล้านต่างมองหน้ากันไปมาสักพักราวกับชั่งใจว่าใครจะเป็นคนต่อกรกับผู้เป็นเจ้านาย แล้วอึดใจต่อมาคาร์ลอสก็เอี้ยวตัวมาค้อมหัวให้นายเป็นเชิงขอโทษ

“ทำไมวะ รถซื้อมาคันละตั้งหลายล้าน ถ้าไม่ใช้สอยให้ตอบสนองตามความต้องการของเจ้าของ แล้วจะซื้อมาทำไมไม่ทราบ!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจก็พลอยพาลพาโลให้รถที่กำลังขับเคลื่อนฝ่าสายฝน เออหนอ…หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้เจ้าพ่อหนุ่มยังเคืองได้แม้กระทั่งรถยนต์จากค่ายหรู

“หากขับเร็วกว่านี้ เราเกรงว่ามันจะไม่ปลอดภัยต่อสวัสดิภาพของเจ้านายนะครับ หากเจ้านายเป็นอะไรไป คุณมิเชลจะทำอย่างไร”

ถึงแม้จะรีบร้อนยังไง ความปลอดภัยของเจ้านายก็ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก คาร์ลอสกล้าที่จะพูดเตือนสติคนที่กำลังนั่งทำหน้าตึง เพราะครอบครัวของเขารับใช้ตระกูลคอฟอร์ดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่อยากไปให้ถึงที่หมายเร็วๆ เหมือนกับเจ้านาย แต่ในเมื่อฝนฟ้าไม่เป็นใจจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อให้รถขับเคลื่อนพาผู้โดยสารทุกคนไปถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ

เมื่อเจ้าพ่อผู้กุมอำนาจการเงินของสวีเดนได้ฟังคำคัดค้านอย่างประนีประนอมและสมเหตุสมผล ซึ่งในน้ำเสียงที่มีหลักการของเลขาฯหนุ่มนั้น มันแฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างแท้จริงจนทำให้เขาต้องเลิกเอ็ดตะโร กระแทกลมหายใจร้อนรนออกมาทางริมฝีปากหยักได้รูปอย่างยืดยาว ราวกับจะให้มันช่วยผ่อนปรนความรู้สึกที่กำลังสุมแน่นในทรวงให้ลดระดับลง หลังจากนั้นรถทั้งคันก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงทอดถอนใจแรงๆ ของมาร์โบโลดังออกมาเป็นระยะ

เอี๊ยด!!!

ฟรานซิสกระแทกปลายเท้าเหยียบเบรคจนตัวโก่ง เมื่อเหลือบแลเห็นว่าบนพื้นผิวถนนข้างหน้าอีกยี่สิบเมตรมีต้นไม้ล้มขวางทางอยู่ เสียงล้อรถยนต์ครูดกับพื้นถนนดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับไอควันจากการบดอัดของยางรถยนต์ลอยละล่องออกมาฟุ้งกระจายเป็นควันสีขาวคละเคล้าไปในอากาศ

“หยุดรถทำไมวะ ไอ้ฟรานซิส แกก็รู้อยู่นี่นาว่าฉันรีบ” จากที่กำลังนั่งจมจ่อมอยู่กับความหมกมุ่น เมื่อรถหยุดอย่างกะทันหันจนแทบหัวทิ่มหัวตำ มาร์โบโลก็กระชากเสียงห้วนระคนดุดันใส่คนที่นั่งประจำตำแหน่งพลขับ สายตาอำมหิตของเจ้านายที่ใช้มองจิกอย่างตำหนิติเตียน ทำให้ฟรานซิสอยากจะกลั้นใจตายให้มันรู้แล้วรู้รอด

“เอ่อ…มีต้นไม้ล้มขวางถนนครับนาย” พายุที่โหมกระหน่ำได้กวาดเอาต้นสนริมทางที่ขึ้นมากว่าห้าปีล้มขวางเส้นทางการจราจร

ฟรานซิสหันมาตอบเจ้านายอย่างตะกุกตะกัก ถ้าไม่จำเป็นเขาไม่อยากจะปริปากเอ่ยอะไรกับเจ้านายในเวลานี้เสียด้วยซ้ำ คนอะไรดุและน่ากลัวยิ่งกว่ามัจจุราช ทั้งที่รับใช้มาร์โบโลมาหลายปีพอๆ กับคาร์ลอส ฟรานซิสก็ยังไม่ชินกับอารมณ์โมโหร้าย ถ้าเจ้านายเกิดพิโรธทีไรเขาก็ต้องกลัวจนหัวหดอยู่ร่ำไป ไม่เหมือนคาร์ลอส รายนั้นเอาแต่ทำหน้านิ่งราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร

“บ้าเอ๊ย…ทำไมมันถึงมีแต่อุปสรรคอย่างนี้วะ” นี่เป็นคำสบถที่มาร์โบโลพ่นออกมาจากริมฝีปากหยักเป็นครั้งที่เท่าไรไม่อาจทราบได้ รู้แต่ว่าขณะนี้ไฟโทสะกำลังโหมกระพือจนเกือบจะลุกท่วมไหม้รถทั้งคัน

บทถัดไป