บทที่ 2 รอยอดีต (50%)
ยังไม่ทันที่มหาเศรษฐีหนุ่มหล่อกระชากใจ จะได้ต่อปากต่อคำกับแม่สาวน้อยขี้วีนต่อ เสียงลิฟต์ก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะการสร้างความอภิรมย์เสียก่อน ปีเตอร์จึงต้องตัดใจ ยั้งคำพูดที่กำลังจะพรั่งพรูออกมา เงยหน้าขึ้นมองจึงรู้ว่า อีกสองชั้นก็จะถึงที่หมายของเขาแล้ว เนื่องจากชายหนุ่มขึ้นลิฟต์ไปผิดชั้นจึงต้องกลับลงมาใหม่ เพื่อจะได้ไปเยี่ยมคนป่วยหลังจากที่เอ้อระเหยลอยชายมานาน บอกเพื่อนจะมาถึงตั้งแต่แปดโมงเช้า จนป่านนี้ปาเข้าไปสิบโมงก็ยังไปไม่ถึงห้อนคนป่วย
“ถ้าอยากได้จูบซับน้ำตา ก็เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะสาวน้อย วันนี้ผมรีบจริงๆ” คนมาเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลบอกอย่างอารมณ์ดี พลางยกนิ้วเรียวสวยขึ้นเคาะหน้าปัดนาฬิกายืนยันคำพูด ตบท้ายด้วยการขยิบตาให้อย่างกะล่อน
“เอ๊ะ…คุณฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไงกัน ฉันบอกว่าไม่ต้องการจูบสับปะรังเคของคุณแม้แต่น้อย ได้ยินไหม!” หญิงสาวขึ้นเสียงใส่อย่างขุ่นเคืองสุดๆ ดวงตากลมโตมองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ชายหนุ่มกลับไม่แยแส แถมยังลอยหน้ายียวนกวนโมโหไม่เลิก
“จุ๊ๆๆ พูดไม่เพราะแบบนี้ มันน่าจับมาจูบสั่งสอนเสียให้เข็ด” เจ้าพ่อค้าเพชรทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจในลำคอหนา แล้วแกล้งขู่ด้วยท่าทางเอาจริง หากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความขบขัน จนแทบกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
“ก็ลองดูสิ จะชกให้ตาเขียวเชียว”
แม่สาวน้อยแสนพยศแหงนหน้าคอตั้งบ่าท้าทาย เค้นเสียงขู่ฟ่อในตอนท้าย พร้อมยกกำปั้นขึ้นชูหรา หมายจะซัดทั้งที่เขายังไม่ได้ทำตามที่พูด แต่โดนมือใหญ่รวบหมัดน้อยๆ นั้นไว้ได้เสียก่อน ปีเตอร์ยิ้มใส่ตาคนที่กำลังทำท่าฮึดฮัด เลิกคิ้วหนามองอย่างขันๆ ที่เธอพยายามสลัดมือให้หลุดพ้นจากพันธนาการแกร่ง ก่อนจะก้มลงจรดปากหยักจุมพิตหลังมือเกลี้ยงเกลาหนักๆ หนึ่งที แล้วเงยหน้าขึ้นมายักคิ้วให้อย่างมีชั้นเชิง การกระทำอันอุกอาจของเขา ทำให้วาเนสซ่าอ้าปากค้าง หัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามจนแทบทะลุออกมานอกอก
“ไปแล้วนะ คนสวย…แต่ขี้แย แล้วโอกาสหน้าเจอกันใหม่” หลังจากเสียงลิฟต์ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า เขาจะต้องโบกมืออำลาสาวน้อยเจ้าอารมณ์เสียแล้ว เสียงทุ้มจึงจงใจกระซิบล้อเลียนข้างหูของคนที่ยืนทำคอแข็ง จนเธอสั่นสะท้านไปทั้งร่างอย่างแปลกประหลาด อีกทั้งยังรู้สึกโมโหอยู่ไม่น้อย
“จะไปตายที่ไหนก็ไปเถอะ ไอ้คนบ้า ไอ้คนกวนประสาท!” ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อสวดส่งอีกฝ่ายอย่างโมโหสุดขีด ใบหน้านวลหงิกงอเป็นม้าหมากรุก ปีเตอร์มองแก้มป่องๆ ที่กำลังเปล่งรัศมีระเรื่อต้องแสงไฟในลิฟต์ตาเป็นมัน เห็นแล้วก็เกิดอาการมันเขี้ยวอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แต่ก่อนที่ลิฟต์จะปิดลงอีกครั้ง คนที่เพิ่งออกจากลิฟต์ ก็ยกมือใหญ่ทั้งสองข้างขึ้นดันประตูลิฟต์ที่กำลังเลื่อนตัวปิดลง ท่าทางดูแสนสบายแต่แฝงไปด้วยเสน่ห์อันล้นหลามในทุกอิริยาบถ แล้วลดหน้าลงมาชิดพวงแก้มสุกใสเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล
“คราวนี้ผมไปจริงๆ แล้วนะครับยาหยี” น้ำเสียงยียวนกวนประสาท กระซิบข้างหูของคนที่ตั้งตัวถอยหลังไม่ทัน ท้ายประโยคจงใจเน้นสรรพนามราวกับสนิทสนมมานานแสนนาน แล้วอาศัยจังหวะที่แม่สาวน้อยตกตะลึงตาค้างกับสรรพนามที่เขาใช้เรียกขาน โน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมาจุมพิตเบาๆ หนึ่งที บนแก้มที่หล่อเลี้ยงไปด้วยเลือดฝาดชวนมอง
“กรี๊ด!” วาเนสซ่ากรีดร้องสุดเสียง ตากลมใสแจ๋วเบิกโพลง ยกมือกุมแก้มข้างที่โดนขโมยจูบ กระทืบเท้าเต้นเร่าๆ พลางชี้หน้าคนที่ยืนโบกมือให้พร้อมรอยยิ้มละลายใจ หากแต่นัยน์ตากลับเต้นระริกไหวด้วยความขบขัน
แม้ลิฟต์จะปิดตัวลง เสียงกรี๊ดก็ยังไม่สร่างซา วาเนสซ่าลืมความเสียใจ อันเกิดจากการบอกเลิกความสัมพันธ์ ระหว่างเธอกับมาร์โบโล คอฟอร์ด เสียหมดสิ้น จะหลงเหลือก็แต่ความโกรธกรุ่นและโมโห ให้ผู้ชายกวนประสาทที่เพิ่งจากมาเมื่อสักครู่ หากแต่ทำได้ก็เพียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันและกำหมัดแน่น
‘ไอ้ผู้ชายบ้า ไอ้ผู้ชายมือไว ปากว่าตาขยิบ ถ้าเจอกันอีกที ฉันจะเอาคืนให้รู้สำนึกเลยเชียวว่า อย่าได้บังอาจมาแต๊ะอั๋งสาวแสบ อย่างวาเนสซ่า ปิเอโร่’
ฝ่ายปีเตอร์ก็ได้แต่ส่ายหัวไปมา แล้วแหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋ายิ้มเผล่เข้าไปเยี่ยมคนป่วย ด้วยท่าทางอารมณ์ดีสุดๆ
“สาวน้อย…อย่างนั้นหรือ ตอนนี้ฉันไม่ใช่สาวน้อยแล้ว” วาเนสซ่าพึมพำ เมื่อเผลอนึกย้อนไปถึงน้ำคำของชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อกระชากใจทว่ายียวนกวนประสาทอย่างยิ่งยวด เสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูยังคงก้องโสตประสาท และติดหนึบอยู่ในห้วงคำนึง มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้อย่างน่าอัศจรรย์
“สี่ปีแล้ว ทำไมฉันถึงไม่ลืมคุณสักทีนะ” กลีบปากเซ็กซี่ที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสดรำพันเบาๆ ไม่ลืมใบหน้าหล่อลากไส้ไม่พอ รอยจุมพิตแผ่วพลิ้วก็ยังคงตราตรึงอยู่ข้างแก้ม ราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นไปหยกๆ ทำเอาสาวเปรี้ยวสุดมั่นหัวใจสั่นไหวอย่างน่าประหลาด จนเผลอยกฝ่ามือนุ่มละมุนขึ้นลูบไล้พวงแก้มนวลปลั่งข้างที่โดนขโมยจุมพิตเมื่อสี่ปีก่อนราวคนละเมอ
คิดแล้ววาเนสซ่า ปิเอโร่ ก็อยากนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปตอนอายุยี่สิบเอ็ดปีอีกครั้งเหลือเกิน แต่ต้องเป็นช่วงเวลาก่อนที่เธอจะกลั้นใจขอถอนหมั้นจากคู่หมั้นหนุ่ม เพราะก่อนหน้านั้นชีวิตของวาเนสซ่าช่างเลิศเลอเพอร์เฟ็กต์ไม่ต่างอะไรจากเจ้าหญิง มีครอบครัวที่แสนอบอุ่น เป็นคุณหนูเล็กแห่งตระกูลทรงอิทธิพลของสวีเดน ที่มีแต่คนห้อมล้อมคอยเอาอกเอาใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้ ขอเพียงแค่เอ่ยปากสิ่งที่ปรารถนาก็จะมาประเคนอยู่ตรงหน้า ไม่เคยมีใครขัดอกขัดใจหรือทำให้เสียน้ำตา และที่สำคัญคือมีคู่หมั้นหล่อเหลาและรวยล้นฟ้า อย่างมาร์โบโล คอฟอร์ด จนสาวน้อยใหญ่ทั่วทุกมุมโลกต่างต้องอิจฉา ฉะนั้นชีวิตในช่วงเวลานั้นจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มแห่งความสุข ทว่าวิมานแสนหวานกลับล่มสลายไม่เป็นท่า



















































































































































































