บทที่ 8 บทที่ 8
เสียงหวานพูดอย่างเศร้าสร้อยกับชะตาชีวิตตัวเอง แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อเธอเลือกแล้ว เลือกที่จะใช้ร่างกายและหัวใจแลกกับความเกลียดชังของใครบางคนที่มีต่อพี่ชายของเธอ
“ทำไมล่ะไผ่ หรือว่าแกมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
“เรายังเล่าตอนนี้ไม่ได้ ถ้าสักวันเราพร้อม เราจะเล่าให้ฟังนะ”
“โอเค ไว้จะรอฟัง”
“งั้นเรากลับก่อนละ นี่เลกเชอร์ของวันนี้ เราถ่ายเอกสารมาให้แล้ว” กลิ่นจันทร์ยื่นเอกสารในมือให้กับอิงดาว แล้วหยิบกระเป๋ามาสะพายเพื่อเตรียมจะกลับห้องตัวเอง
“ขอบใจนะไผ่”
“เจอกันพรุ่งนี้นะ”
จากนั้นอิงดาวก็เดินมาส่งเพื่อนสาวที่ประตู ก่อนจะกลับไปคุยโทรศัพท์กับพีระพลอย่างมีความสุข ซึ่งต่างกันลิบลับกับกลิ่นจันทร์ ตอนนี้ร่างกายของเธออ่อนล้าเหลือเกิน แต่ก็ยังไม่เท่าหัวใจที่อ่อนล้ายิ่งกว่า ร่างบางทอดกายลงนอนบนเตียงขนาดหกฟุตโดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำ ตาคู่สวยหลับลงพลางครุ่นคิดถึงคำพูดของอิงดาวและเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ครั้งแรกเจ็บมาก แต่ก็ฟินสุดๆ
ที่อิงดาวรู้สึกแบบนั้นคงเป็นเพราะประสบการณ์ครั้งแรกเกิดกับผู้ชายที่ตัวเองชอบและเขาก็ชอบอิงดาวเหมือนกัน พีระพลคงระมัดระวังและทะนุถนอมอิงดาวไม่น้อย อิงดาวถึงไม่รู้สึกว่าตัวเองเจ็บปวดกับการเสียสาว แต่สำหรับเขาคนนั้นเล่า...จะโหดร้ายกับเธอเพียงใด ในเมื่อหัวใจเขามีแต่ความแค้นที่สุมอยู่ตลอดเวลา
กริ๊งงง…
เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่หัวเตียงดังขึ้นพร้อมกับอาการสั่นครืดๆ ตามคำสั่งที่ถูกป้อนไว้ในเครื่อง ทำให้คนที่นอนอยู่สะดุ้งน้อยๆ มือเล็กวาดไปยังต้นเสียงแล้วหยิบมันขึ้นมาดูพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทร.มาไม่ใช่เบอร์ของคนรู้จักที่บันทึกไว้ในเครื่อง
“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักทายไปตามมารยาทและรอฟังว่าคนที่โทร.เข้ามาจะตอบกลับว่าอย่างไร
“อย่าให้ฉันรู้อีกว่าเธอไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนอื่นสองต่อสอง ไม่อย่างนั้นฉันจะตามไปเอาเรื่องเธอถึงที่ห้อง”
“คุณไนท์!” ชื่อนั้นหลุดออกมาจากปากอย่างเป็นอัตโนมัติ หลังจากฟังคำขู่ที่ผ่านมาตามสาย น่าแปลกที่เธอจำเสียงเขาได้เจนใจ
“จำชื่อฉันให้ขึ้นใจด้วยล่ะ เพราะตอนนี้เธอเป็นสมบัติของฉัน และอีกไม่นานฉันก็จะเป็นผัวเธอแล้ว”
“ไผ่ไม่ได้ไปไหนกับใครนะคะ ไผ่รับน้องเสร็จก็กลับหอ” กลิ่นจันทร์ไม่ได้จะแก้ตัว แต่แค่อธิบายในสิ่งที่เขากำลังเข้าใจผิด
“แล้วใครมาส่งเธอ?”
“รุ่นพี่ที่คณะค่ะ”
“รุ่นพี่ที่ว่านั่นก็ผู้ชายไม่ใช่เหรอ แถมเธอยังไม่ได้ลงที่หอตัวเอง”
“ไผ่แวะไปดูเพื่อนค่ะ เพื่อนไผ่ไม่สบาย”
“จำไว้นะกลิ่นจันทร์ ว่าฉันจับตาดูเธออยู่ทุกฝีก้าว ถ้าเธอออกนอกลู่นอกทางเมื่อไหร่ ไม่ใช่แค่เธอที่จะเดือดร้อนหรอกนะ อย่าให้ฉันต้องย้ำซ้ำซาก”
“ไผ่รู้ดีค่ะ”
“อย่าดีแต่ปากก็แล้วกัน”
ห้วนๆ สั้นๆ ไม่มีคำล่ำลา ไม่มีคำว่าฝันดี หรือถ้อยคำอื่นๆ ที่ควรจะพูดก่อนวาง นภัทรตัดสายแค่นั้น แต่ทิ้งความหนักอึ้งมากมายไว้กับหัวใจดวงน้อย
นี่แค่เริ่มต้น...กลิ่นจันทร์บอกตัวเอง ก่อนจะข่มตาลงอีกครั้ง ซึ่งความอ่อนล้าทั้งกายและจิตใจทำให้ร่างกายเริ่มดำดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา โดยที่สมองยังครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา...
สองเดือนก่อน...
ประตูห้องของคอนโดมิเนียมสุดหรูกลางกรุงถูกปิดลงด้วยมือเรียวบาง ก่อนที่คนปิดจะยืนพิงประตูพร้อมกับรอยยิ้มสดใส อวดไรฟันขาวสะอาดราวกับไข่มุกที่ถูกร้อยเรียงอย่างประณีต ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเปล่งประกายแห่งความหวังออกมาจนน่าอิจฉา สำหรับใครหลายๆ คน การสอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพฯ มันอาจไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไรนัก ทว่ามันยิ่งใหญ่มากสำหรับเด็กสาวต่างจังหวัดที่มาจากครอบครัวยากจน และแทบจะไม่เคยมีโอกาสเรียนพิเศษเลยอย่างกลิ่นจันทร์ แต่ตอนนี้ความฝันของเธออยู่แค่เอื้อม หลังจากกวินพี่ชายของเธอหาหอพักให้ได้แล้ว อีกไม่กี่วันมหาวิทยาลัยก็จะเปิด เธอจะได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้อยู่ใกล้ๆ กับพี่ชายที่เป็นทุกอย่างให้เธอมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่กลิ่นจันทร์ดีใจกว่าอะไรทั้งหมด
เด็กสาววัยสิบเก้ากระชับกระเป๋าเป้ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเท้าออกห่างจากประตูแล้วตรงไปยังลิฟต์ พลางบอกตัวเองว่าให้อดทน หลังจากนี้ไปเธออยากเจอพี่ป้องเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะไม่มีอุปสรรคของระยะทางมาขัดขวาง เธอเรียนอยู่กรุงเทพฯ พี่ป้องก็อยู่กรุงเทพฯ คิดถึงเมื่อไหร่ก็มาหา หรือจะบอกพี่ป้องให้ไปหาก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ร่างอรชรก้าวไปหยุดที่หน้าลิฟต์ กดลูกศรชี้ลงครั้งเดียว ปุ่มนั้นก็กลายเป็นสีส้ม ส่งสัญญาณบ่งบอกว่าให้เธอรอ อีกไม่นานลิฟต์จะมารับ หลังจากพ้นตึกนี้ไปแล้ว เธอก็จะได้กลับบ้านไปหายายกับน้าที่เชียงราย กลิ่นจันทร์ตั้งใจว่าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับพวกท่านให้คุ้มค่ามากที่สุด ก่อนจะย้ายมากรุงเทพฯ และอยู่ใกล้ๆ พี่ป้องไปอีกอย่างน้อยก็สี่ปี
ติ๊งงง...
เสียงประตูลิฟต์ดังขึ้นก่อนจะเปิดออก กลิ่นจันทร์กำลังจะก้าวเข้าไปข้างใน แต่ต้องชะงักเมื่อร่างสูงที่ก้าวออกมาจากลิฟต์เอ่ยเรียกเธอไว้
“น้อง”
