บทที่ 3 บทที่ ๑ (๒)
แรงกระแทกกระทั้นพัดโบกรุนแรงมิต่างจากลมพายุด้านนอก ต้นไม้ที่เอนไหวลู่ตามลม สะบัดพัดไปตามแรงจนสั่นไหวหนักหน่วงนั่นมิต่างจากแพรวพราวที่ยังมิรู้สึกตัวว่าตนเองนั้นได้ทะลุภพชาติมากลายเป็นโสเภณีตัวร้ายช่างริษยาแห่งพระนคร หล่อนแอ่นสะโพกบดคลึงเบาๆ ยอมรับความเสียวซ่านอย่างเต็มใจ โดยมิรู้เลยว่าคนตรงหน้าที่มีดวงหน้าละม้ายคล้ายคลึงพาร์ทเนอร์บนเตียงนั้นคือชายในอดีตกาล แถมยังเป็นจอมขมังเวทย์ผู้เลื่องชื่อในพระนครอีกด้วย
กว่าจักจบบทรักช่างแสนยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ อีกคนแสนขยาด อีกคนแสนสุขเสร็จสมเต็มอิ่มด้วยความหนักหน่วงที่ถูกกระทั้น กว่าจักรู้สึกตัวหล่อนก็สลบไสล นอนเปลือยกายอยู่บนพื้นกระดานอย่างหมดสภาพไม่ต่างกระไรกับผ้าผ่อนที่กระจายเต็มพื้นเรือน สิ่งที่พ่อครูทำทันทีที่นุ่งภูษากลับมาเช่นเดิมคือดวงตาที่กดมองร่างอรชรที่เต็มไปด้วยเหงื่อกาฬอย่างเหยียดหยัน เพราะหล่อนเป็นได้เพียงหญิงที่ไว้ร่วมเตียงในยามที่ต้องการผลประโยชน์เท่านั้น
หล่อนจักมิมีวันได้ตกไปถึงพระยาสิงห์ดอก หล่อนมิมีสิทธิ์นั้น ด้วยแรงริษยาจักถูกเหยียบย่ำด้วยปลายเท้าเหยียบอาคมคู่นี้ เขาจักสั่งสอนบดขยี้หล่อนให้หลาบจำว่าพระนครที่ไร้โสเภณีอย่างอีแพรว ก็ยังคงสูงส่งเฉกเช่นเดิม
ฝ่าเท้านั้นก้าวจากไป ทิ้งร่างเปลือยเปล่าให้นอนเหน็บหนาวอยู่ตรงนั้น แพรวพราวดาราสาวหายใจเหนื่อยหอบเนื่องจากแรงศึกสวาทจากอีกฝ่ายนั้นช่างรุนแรงไม่ถนอมกายอันบอบบางนี่เอาเสียเลย หญิงสาวตกอยู่ในห้วงนิทราจนกระทั่งตกฟ้ามืด
เสียงจิ้งหรีดเรไรเป็นตัวปลุกให้แพรวพราวตื่นขึ้นมาจากภวังค์ความฝันอันยาวนาน ขนาดในฝันยังนึกถึงแต่ดวงหน้าของนับสิบ มันแปลกมากที่เธอฝันถึงเขาทั้งที่ปกติไม่เคยให้ความใส่ใจด้วยซ้ำ
ร่างเปลือยเปล่าค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นจากพื้นไม้สักเย็นเฉียบแต่กลับต้องร้องโอดโอยออกมาเพราะรู้สึกปวดกล้ามเนื้อเนื่องจากนอนอยู่บนพื้นไม้แข็งๆ อยู่เป็นเวลานานหลายชั่วโมง แผ่นหลังเย็นเยียบไม่ต่างกับพื้นไม้ที่ชืดหนาวตามอุณหภูมิของช่วงเวลาตะวันตกดิน แพรวพราวค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังครวญโอยขยันโอยด้วยความปวดกล้ามเนื้อแผ่วๆ ก่อนที่จะมองหาชุดหรืออะไรสักอย่างมาคลุมตัว
แต่ทว่า... ชุดที่กองพะเนินอยู่ตรงหน้าหล่อนกลับเป็นเพียงผ้าบางและซิ่นลายโบราณไม่คุ้นตากับยุคสมัยที่ใช้ชีวิตอยู่ ยิ่งกวาดสายตาไปรอบๆ กลับต้องตะลึงพรึงเพริดเพราะบ้านเรือนไทยแบบนี้ไม่ใช่กองถ่ายละครหรือแม้แต่บนเตียงในโรงแรมหรูด้วยซ้ำ
ที่นี่มันที่ไหนกัน? นี่เราหลุดมาในยุคสมัยก่อนสงครามโลกหรือยังไง
แพรวพราวไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์ไทยและไม่คิดที่จะสนใจด้วย สาวเจ้ารวบผ้าซิ่นที่เป็นปราการป้องกันร่างกายเปลือยเปล่าด่านสุดท้ายมานุ่งกระโจมอก ประตูใหญ่ด้านหน้านั้นมีเสียงพึมพำบริกรรมคาถาจนรู้สึกขนพองสยองเกล้า
เธอมองซ้ายมองขวา ยังไงก็ออกประตูข้างหน้าไม่ได้แน่ๆ เธออาจถูกลักพาตัวในขณะที่กำลังเจ็บตัวอยู่!
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นประตูหลังเรือนที่เปิดอ้าไปสู่ป่ากล้วยเล็กๆ ด้านหลัง เลยรีบรุดลงกระไดหลังเรือนไป
ด้านล่างมีโอ่งมังกรขนาดใหญ่ ที่น่าตกตะลึงกว่าคือรอบเรือนไทยใหญ่นี้เป็นป่ารกชัฏล้อมรอบจากที่ตอนแรกหล่อนเห็นกับตาว่ามันเป็นป่ากล้วยขนาดเล็ก สีหน้าของแพรวพราวซีดเผือดถนัดตา เธอพยายามร้องเรียกความช่วยเหลือเมื่อนึกขึ้นได้ แต่กลั้นเสียงเอาไว้ก่อนเพราะรู้สึกว่ามือเล็กๆ แบบนี้แถมไม่มีเล็บเจลสีแดงสดแต่งแต้มอย่างที่ควรจะเป็น
นี่มันไม่ใช่ร่างกายของเธอ!
เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเหลือเกิน แต่คงไม่มีอะไรน่าเหลือเชื่อกว่าการที่กองถ่ายละครนั้นเลือกเอาเชือกเส้นเก่ามาให้เธอใช้สลิง! คอยดูนะถ้ากลับไปได้แม่จะฟ้องร้องให้ยับเลย จะไปออกรายการทุกช่องเน้นหนักๆ ที่ช่องโหนกระแสของพี่หนุ่มโจมตีไอ้กองถ่ายเวรนี่จนขึ้นแฮชแท็กอันดับหนึ่งในทวิตเตอร์จนกว่ากองถ่ายนั่นจะถูกแบนแบบไม่มีวันกลับมาหายใจหายคอได้อีก
สิ่งที่คิดว่าควรทำมากที่สุดคือส่องกระจกหรือชะโงกดูเงาที่ปรากฎขึ้นเหนือน้ำจากโอ่งมังกรใบใหญ่ แต่เมื่อเห็นดวงหน้าที่ปรากฏบนนั้น จากที่อดกลั้นว่าจะไม่กระโตกกระตากและส่งเสียงดัง เธอแผดเสียงกรี๊ดลั่นออกมาทันทีจนป่าแทบแตก นกกาแตกรังบินกระจายไปทั่ว
ก๊า ก๊า!
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย!” เสียงนกการ้องดังพอๆ กับบั้นท้ายงามงอนที่ล้มลงจ้ำเบ้าบนพื้นหญ้าแฉะๆ ยิ่งมองลงไปก็มีแต่ขี้โคลนไม่ต่างกับชนบทสาปวัวสาปควาย หล่อนแผดเสียงกรี๊ดหนักกว่าเดิม
กว่าจะรู้สึกตัวก็มีผู้ชายร่างกายใหญ่โตเดินลงมาจากประตูหลังเรือน
เขาคือคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายนับสิบ... แต่ดูยังไงก็ไม่ใช่นับสิบ การแต่งตัวโบร่ำโบราณแตกต่างจากนับสิบที่เป็นสายแฟชั่นจ๋า กับรอยสักยันต์เต็มตัวที่ถ้าเป็นนับสิบเขาจะมีเพียงรูปไม้กางเขนสีดำมินิมอลเล็กๆ ที่ข้อมือเท่านั้น
“เอะอะโวยวายค่ำๆ มืดๆ มิกลัวผีกะผีโพงตามตัวหรือไร”
“ผะ... ผีอะไรกัน แล้วคุณเป็นใคร!” เสียงเล็กแผดเสียงแหลมกว่าเดิม ท่าทางที่เปลี่ยนไปจากเมื่อคืนจากหน้ามือเป็นหลังมือทำให้พ่อครูคันศรคิ้วขมวดอย่างนึกแปลกใจ เมื่อคืนอยากได้เขาจนตัวสั่น แต่พอตื่นมากลับทำเป็นความจำเลอะเลือนเสียนี่
หรือจักเป็นมารยาร้อยเล่มเกวียนที่ต้องการถามหาความรับผิดชอบงั้นหรือ?
“กูเอง... พ่อครูคันศร จำมิได้หรืออย่างไรอีแพรว?”
สรรพนามที่ถูกใช้คุยทำให้หญิงสาวเบิกตาโต ผู้ชายคนนี้หยาบคายเหลือเกิน ไม่รู้สินะว่าเธอเป็นใคร?
“มาพูดมึงกูขึ้นไอ้ขึ้นอีกับฉันได้ยังไง หยาบคายมาก นี่ฉันเป็นดาราดังนะ แล้วก็อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้!” เสียงหวานตวาดลั่นพลางค่อยๆ ตั้งหลักลุกขึ้นหยัดยืนเต็มความสูงพร้อมผละถอยหนีไปด้วย แต่พ่อครูคันศรหาได้ใส่ใจไม่ เขาก้าวย่างเข้ามาประชิดตัวแพรวพราวแล้วคว้าข้อมือเล็กของเธอบีบไว้แน่น
“จักลืมได้ลงอย่างไร... ก็มึงเป็นคนร้องขอให้กูครองกายมึงเองแท้ๆ”
“พูดเป็นเล่น ใครจะมาขอคนพูดจาโบราณแถมยังนุ่งผ้าถุงตัวเดียวแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับคนโรคจิต” ถึงจะหล่อดิบเถื่อนและหน้าแอบคล้ายคนที่คั่วอยู่ก็ตาม แสดงว่าฝันในคืนที่ตื่นมาก็เป็นความจริงน่ะสิ ฝันที่ได้มีสัมพันธ์กับคนที่หน้าคล้ายน้องสิบ
ที่แท้ก็คือคนๆ นี้!
“คุณล่อลวงฉันใช่ไหม หรือลักพาตัวฉันมา? ที่บ้านฉันพ่อแม่เป็นนักธุรกิจส่งออกรถยนต์รายใหญ่ ฉันให้คุณได้สิบล้านพอไหม?” เธอไม่ได้แคร์ว่าจะเสียตัวเพราะคำว่าเสียใจไม่มีในพจนานุกรมของแพรวพราว กังวลก็แค่ช่วงที่ให้คนของพ่อปิดข่าวเสียหายก็เท่านั้น และคนตรงหน้าอาจจะโดนจับเข้าคุกทันทีที่พ่อของเธอตามตัวแพรวพราวเจอ เพราะเธอมันลูกเทวดายังไงล่ะ
“มึงสติฟั่นเฟือนใช่หรือไม่อีแพรว จำมิได้หรือถึงรากฐานของตนเอง?” คราวนี้อีกฝ่ายมีสีหน้าหงุดหงิดเริ่มชักทั้งสีหน้าและน้ำเสียง จนแพรวพราวเองก็ชะงักไป ทำไมบทสนทนามันดูแปลกๆ เหมือนคุยกันคนละเรื่องตลอดเวลา แถมใบหน้าที่เธอเห็นในโอ่งมังกรนั่นอีก
มันไม่ใช่แพรวพราวดาราสาวดาวรุ่ง หน้าตาคนที่สะท้อนกลับมาจากผิวน้ำนั้นสวยคมผสมแขกมีอารมณ์เอาแต่ใจหน่อยๆ หางตาชี้คล้ายแมวนั่นมันไม่ใช่หล่อน
ดวงหน้าที่โบท็อกกรามมา แถมศัลยกรรมปรับแต่งจนคล้ายกับดาราเกาหลีนั่นไปไหน ไม่ใช่ผิวพม่านัยน์ตาแขกแบบนี้!
“แล้วถ้างั้น... ฉันจะเป็นใครได้ล่ะ?” เป็นคำถามที่โพล่งออกมาโดยไร้เหตุผลและคำตอบโดยสิ้นเชิง สีหน้าของพ่อครูคันศรมีความนิ่งสงบไม่ต่างจากผิวน้ำเรียบ ดวงตากลมโตของสาวเจ้านั้นสั่นระริก ดูเหมือนจักเกิดอาเพศประหลาดกับหญิงชั่วผู้นี้
งั้นขอดูหน่อยก็แล้วกัน
“กูรู้วันเดือนปีเกิดกระทั่งถึงวันตกฟากของมึง จักนั่งทางในดูให้ก็ย่อมได้” หล่อนคงลืมไปว่าหล่อนได้บอกข้อมูลของตนเองทุกอย่างในคราที่ให้เขาเสริมเสน่ห์ของเก่าของพระยาสิงห์แล้ว
“จริงเหรอคะ!” คราวนี้เกิดคะขาขึ้นมาเชียว ก็อีกฝ่ายเรียกตนว่าพ่อครูนี่นา แล้วหล่อนก็ไม่มีทางเลือกมากนักด้วย
“แต่ต้องแลกกับการปรนนิบัติรับใช้ งานบ้านงานเรือนอย่าให้ขาด แลห้ามพูดคุยกับใครหน้าไหนที่แวะเวียนมาที่ตำหนักนี้เด็ดขาด มิว่าของกินใดที่มิใช่มาจากมือกู อย่าได้หลงรับประทาน”
ทำไมเคร่งครัดจริง ดาราสาวคิดในใจอย่างหัวเสีย หล่อนติดนิสัยไม่ชอบให้ใครมาสั่งหรือบงการชีวิต
