บทที่ 8 บทที่ ๓ (๒) จบตอน

“ถ้าฉันไปอยู่กับพระยาสิงห์ ก็ต้องอยู่ในฐานะเมียน้อยล่ะสิ” เรื่องแบบนี้ยิ่งรับไม่ได้เข้าไปใหญ่

“ใช่”

“ไม่มีทางหรอกค่ะ”

“แม่มิมีทางเลือกดอก” แต่ความคาดหวังและการตัดสินใจที่เสรีถูกปัดตกไปตั้งแต่ที่เกิดเป็นโสเภณีในยุคโบราณแบบนี้แล้ว ยุคสมัยนี้ผู้หญิงไม่ได้มีปากมีเสียง มีความคิดที่อิสระเหมือนบ้านเราในปัจจุบัน สิ่งที่แพรวพราวเลือกได้คือต้องอยู่กับพระยาสิงห์ในฐานะอนุภรรยา หรือถ้ากล้ำกลืนความเป็นเมียน้อยคนแก่พุงพลุ้ยไม่ได้ ก็ต้องตายเท่านั้นเอง

แต่อยู่ดีๆ สาวเจ้าก็บังเกิดความคิดสุดบรรเจิดและค่อนข้างที่จะสุดโต่งขึ้นมาในหัว

แล้วถ้าหล่อนยอมเป็นเมียของคนที่คิดจะฆ่าหล่อนมาตั้งแต่แรก และพยายามทำให้เขาตกหลุมรักให้ได้ล่ะ?

ถ้าเธอยอมปรนนิบัติรับใช้พ่อครูคันศร เขาจะเปลี่ยนใจมาช่วยเหลือเธอหรือเปล่า?

แน่นอนว่าพรานสมิงเองก็น่าสนใจ แต่ทำไมเธอถึงไม่เลือกเขาน่ะเหรอ?

ก็เพราะว่าไม่ตรงสเปคยังไงล่ะ

อีกอย่าง... ก็เพราะติดใจในหน้าตาที่ละหม้ายคล้ายคลึงกับนับสิบราวกับคนเดียวกันอย่างน่าประหลาดของเขา ถ้าเกิดว่าหมอผีคนนั้นเป็นนับสิบในชาติที่แล้วจริงๆ เธอจะได้เจอกับนับสิบในภพปัจจุบันอีกไหม?

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร... พอคิดว่าจะไม่ได้เจอกันจริงๆ อีกแล้ว ทั้งๆ ที่ผ่านมาไม่เคยนึกสนใจเด็กคนนี้สักเท่าไหร่ มองเห็นเขาเป็นเพียงพาร์ทเนอร์บนเตียงที่รู้ใจกันดีก็เท่านั้น

แต่วันนี้เธอกลับคิดถึงเขา และโหยหามากเหลือเกิน

“มองข้าแบบนั้น”

“...”

“จะกลับไปหาไอ้คันศรสิหนา แม่หญิง”

เมื่อเห็นว่าแววตาของหญิงสาวตรงหน้าทอเป็นประกาย หล่อนท้าวคางตนเองหวนนึกถึงดวงหน้าคมคายได้รูปของหมอผีคนนั้นแล้วได้แต่หยัดยิ้ม ตอนที่มีเซ็กซ์ด้วยเขาดูดีบาดใจและรุนแรงได้ใจ อาจดูโรคจิตและมาโซคิสต์ไปหน่อย แพรวพราวถือตัวแต่ในบางครั้งพออยู่บนเตียงก็อยากเป็นแค่สัตว์ตัวเมียตัวหนึ่ง เธอชอบเล่นกับไฟเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าไฟนั้นคือความร้อนเร่าที่เธอให้ความสนใจ

พรานสมิงมองสีหน้าของหล่อนที่แทบจะบอกทุกอย่างออกมาแล้วได้แต่ส่ายหน้า ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติไหน หญิงคนนี้ก็เป็นแบบนี้ไม่เปลี่ยน

รสนิยมบนฟูกนอนยังเป็นเหมือนเดิม

“พ่อหมอนั่นน่ะ หน้าตาเหมือนกับคู่นอนของฉันในชาติที่แล้วเลยค่ะ” เธอพูดออกมาตามตรง กอดเข่าตัวเองทอดมองไปยังผืนน้ำกว้าง เงาสะท้อนของดวงจันทร์ชวนให้หวนนึกถึงคืนแรกที่รีสอร์ทมัลดีฟส์ ท่ามกลางสระว่ายน้ำ ทะเล และแสงจันทร์ หล่อนกับนับสืบบดขยี้กันอย่างเร่าร้อนท่ามกลางสระว่ายน้ำเปิดโล่งที่จับจองเอาไว้เป็นการส่วนตัว

การรู้ใจตัวเองเมื่อสายไปแล้วนี่มันน่ากลัวจริงๆ

เธอกล้าที่จะล้อเล่นกับดวงไฟที่พร้อมแผดเผา แค่เพราะว่าชายคนนั้นหน้าตาเหมือนกับคนที่เธอเคยควง

ใจคนมันยากจะหยั่งถึงนัก พร้อมเสี่ยงใจตัวเองแค่เพียงเพราะเรื่องแค่นั้น

“...”

“อยู่ดีๆ พอตายไปแล้ว ฉันก็เพิ่งมารู้ตัวว่าที่ผ่านมารักเขามาตลอด น่าตลกดีใช่ไหม” เธอกอดเข่าตนเอง นับสิบที่ใช้ช่วงเวลาอยู่กับเธอช่างเอาอกเอาใจ เขาบูชาเธอไม่ต่างอะไรกับเทพธิดาองค์สุดท้ายที่ลงมาจากสวรรค์ เขาเยินยอเธอเป็นที่สุด แม้ว่าต่อหน้าสื่อจะทำทีเหมือนตามจีบนางเอกหน้าตาน่ารักตัวท็อปในวงการอย่างบริสุทธิ์ใจอยู่ก็ตาม

ถึงเธอจะประสบความสำเร็จอย่างมากมาย แต่ก็แอบน้อยเนื้อต่ำใจที่ต่อหน้าสื่อนับสิบไม่เคยแม้แต่จะออกตัวจีบเธอที่มีดีกรีเป็นนางร้ายเพราะภาพลักษณ์ของเขาอาจจะเสียได้ เพราะผู้ใหญ่หลายคนในวงการแบนเธอและกำลังผลักดันเขาอยู่

ความน้อยใจทำให้เธอปฏิบัติตัวกับเขาไม่ต่างกับพาร์ทเนอร์บนเตียงที่มีค่าแค่เวลาร่วมกิจกรรมในร่มผ้าเท่านั้น แพรวพราวทำเหมือนเขาจะถูกสลัดทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้สำหรับเธอ

นับสิบไม่เคยพูดว่ารักออกมา เธอเองก็ไม่เคยพูดว่ารักเขาออกมาเช่นกัน

โลกที่เธอกับเขาอยู่นั้นเป็นเส้นขนาน เมื่ออีกฝ่ายดูใจง่ายและใจดีต่อแพรวพราวแค่คนเดียวแบบนี้ เธอเลยย่ามใจว่าเขาจะอยู่กับเธอตลอดไป แม้ว่าจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่มีชื่อเรียกเป็นพิเศษ

แต่เมื่อสุดท้ายเธอไม่มีโอกาสได้กลับไปจริงๆ มันช่างน่าสมเพชที่ตอนนี้คิดถึงเขาเหลือเกินจนหัวใจแทบหลุดออกมา เธอสูญเสียตัวตนที่ถือดีนั่นไปแล้ว

เธอจะคิดว่าคันศรคือนับสิบในชาติที่แล้ว

ในเมื่อยุคนี้มันอัศจรรย์ใจซะขนาดนั้น ที่หล่อนเชื่อแบบนั้นก็คงไม่ผิดใช่ไหม จะว่าแพรวพราวเพ้อเจ้อไปเองก็ช่าง

นับสิบไม่ใจดีกับหล่อนอีกต่อไปแล้ว คราวนี้จากที่เขาวิ่งตามเพื่ออ้อนวอนขอความรักจากเธอ

ต้องเป็นเธอเสียเองที่วิ่งเข้าหาอ้อนวอนขอความรักจากเขา

“ข้าจักมิห้ามใจแม่ดอกหนา แต่คันศรหาใช่ชายที่แม่เคยคบหาดูใจไม่”

“...”

“มันมิไยดีแม่ดอก มันมีคนที่มันรักอยู่แล้ว” แพรวพราวนิ่งไปชั่วอึดใจ หล่อนรู้สึกไม่มั่นคงทางอารมณ์ตอนที่ตัดสินใจเอ่ยปากถามออกไป

“ผู้หญิงคนนั้นคือใคร”

“คุณหญิงวาดรัก ภริยาเอกของพระยาสิงห์ที่จักมาไถ่ตัวแม่ในวันพรุ่ง แต่มันมิได้สมหวังดอก แค่เป็นห่วงไกลๆ เท่านั้น”

“...”

“ตัวแม่แพรวคิดจักไปแตะวาดรัก มันจึงเดียดฉันท์แม่ยิ่ง” หญิงสาวที่กอดเข่าตนเองพร่ำเพ้อถึงชายที่ไม่ใช่ของตนได้แต่นิ่งงัน เธอเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนที่จะแค่นวเราะออกมาเบาๆ

“เธอคนนั้นสวยกว่าฉันหรือเปล่า” ถามออกมาทั้งที่มีความมั่นใจในตัวเองพอสมควร เธอไม่สนใจหรอกนะว่าอีกฝ่ายจะชอบผู้หญิงคนนั้นมากแค่ไหน หรือเธอเหนือกว่าแพรวพราวยังไง

แค่นี้ก็เต็มไปด้วยแรงริษยาหึงหวงจนรานทรวง

“มิรู้สิหนา... สำหรับข้านางก็แค่เพียงผู้หญิงคนหนึ่ง” ดวงหน้าคมคายฉีกยิ้มตอบ สำหรับเขานั้นแพรวพราวดูน่าสนใจมากกว่า และใช่ ตอนนี้เธอกำลังร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ เธอเป็นคนขี้หึงขี้หวง ยิ่งเธอมองหมอผีคนนั้นไม่ต่างกับนับสิบ เท่ากับว่าเธอเป็นเจ้าของเขาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ไม่ยอมให้ใครมาแย่งไปง่ายๆ หรอก “วาดรักงามอย่างกุลสตรี อ่อนหวาน อบอุ่น แลอ่อนโยน...”

“นั่นไม่ใช่สเปคที่แท้จริงของนับสิบหรอก”

“...”

“ต้องคนแบบฉันเท่านั้น ที่จะสยบนับสิบได้” นั่นเป็นความมั่นใจเดียวที่เธอมีอยู่ ถึงในภพนี้จะเป็นคนละคนก็ช่างสิ นับสิบก็ต้องเลือกเธออยู่ดี

พ่อครูคันศรคนนี้ก็เช่นกัน

“ฉันจะไม่ยอมให้เขาเป็นของใคร เพราะเขาเป็นของฉันตั้งแต่ชาติที่แล้วที่ฉันตายไป และจะเป็นแค่ของฉันคนเดียว”

“...”

“ถึงเขาจะเกลียดฉัน แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่” หล่อนยักไหล่อย่างเอาแต่ใจ “เพราะเขาหนีฉันไม่พ้นหรอก”

อย่าให้แพรวพราวรู้ตัวว่ารักแล้วกัน เพราะหล่อนเป็นคนที่คลั่งรักและบ้าบิ่นใช่ย่อย หล่อนไม่แคร์ว่าเขาจะเป็นใคร แต่ถ้าปักใจไว้ เขาจะต้องเป็นของเธอในที่สุด

พรานสมิงนึกตะลึงในความนึกคิดที่วิปลาสของหล่อน ชายผู้นั้นยชังน้ำหน้าหล่อนขนาดนั้นยังคงมีความพยายาม ยามเมื่อเธออาบแสงจันทร์ แหงนหน้ามองท้องฟ้ามืดมิดที่มีเพียงพระจันทร์เต็มดวงทอสว่างอยู่เหนือเนิ่นน้ำ หล่อนฉีกยิ้มออกมาจนตาหยี ดูน่าหวั่นเกรงอย่างบอกไม่ถูก

เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ? ไม่อยากจะจินตนาการภาพตามเลยสิ

หญิงผู้นี้ไม่ธรรมดาแบบที่คิดเอาไว้จริงๆ

เขาแค่นยิ้ม ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนแพรวพราวนึกแปลกใจ ดวงตาสีดำสนิทเงยหน้าขึ้นสบชายหนุ่มร่างกายกำยำที่จ้องตาเธอกลับ เขายอมรับว่าในอดีตกาล เขาหลงรักแม่ของคุณหญิงวาดรัก แต่เพราะไม่สมหวังผู้หญิงที่เขารักจึงได้ตั้งท้องกับชายอีกคนที่เข้ามาแย่งชิงทุกอย่างที่เขาปรารถนา

สุดท้ายชายคนนั้นพยายามปกป้องวาดรักทุกวิถีทาง แต่ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้ว... วาดรักก็ต้องเผชิญชะตากรรมที่หล่อนเลือกเอง สามีที่เลือกมาด้วยความรัก กลับเป็นตาแก่บ้าตัณหากลับที่ต้องการข้องเกี่ยวกับโสเภณี แลหักหน้าภริยาเอกด้วยการรับโสเภณีสันดานงามหน้ามาเป็นอนุภรรยาเพื่อเชิดหน้าชูตา

หญิงตรงหน้านั้นไร้เกียรติ และร้ายกาจ ชั่วช้าสามานย์เกินกว่าที่พ่อหมอคันศรจะให้อภัยได้ เขาเข้าใจเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ดี ไม่ว่าใครก็ต้องการที่จะปกป้อง ‘ลูกสาว’ ของตัวเอง

แต่เพราะว่าอีแพรวนั้นมีส่วนข้องเกี่ยวกับอดีตกาลของคันศร มันจึงเลือกวิธีที่เลวร้ายที่สุดอย่างการกำจัดทิ้งเพื่อตัดปัญหา มันเกลียดชังเกินกว่าที่จักทนร่วมใช้ชีวิตกับอีแพรวได้

แต่ผู้หญิงคนนี้... กลับมีจิตพันผูกกับมันอย่างแรงกล้า

บทละครบทนี้ช่างน่าสนุกที่จักเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดยิ่งนัก

“งั้นแม่ก็คงคิดจักกลับไปหามันจริงดังว่า” นั่นเป็นประโยคคำถามที่เขาเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว แพรวพราวสบตาเขา ก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมาแทนคำตอบ

“ถามบ่อยขนาดนี้ นายชอบฉันหรือไง”

“หึ” เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอ สำหรับหล่อนมันยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เขายังคงฝังใจกับรักครั้งเก่าที่ไม่สมหวัง แต่ทว่า... “ข้าจักอาสาพาแม่กลับไปหามันเอง”

“...”

“แต่มีข้อแม้... ว่าข้าต้องได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกับแม่ด้วย”

แพรวพราวชะงักไป หล่อนจ้องเขาตาเขม็ง

“ไหนว่าไม่ต้องการข้อแลกเปลี่ยนไงคะ” ก็เมื่อครู่เขายังยอมเซ็นสัญญาปากเปล่าเป็นเด็กในสังกัดเธอโดยไม่รับข้อแม้อะไรอยู่เลย

“นี่หาใช่ข้อแลกเปลี่ยนไม่ แม่รับมือไอ้คันศรมิได้ดอก ข้าเองก็มิมีหมู่บ้านให้อยู่อาศัยอีกต่อไป หมู่บ้านนั้นนอกจากเสือก็มีเพียงข้าคนเดียวที่เป็นคน”

“...”

“การไปร่วมชายคากับแม่เป็นทางเลือกที่ข้าเต็มใจจักเลือก... ข้าอยากอยู่กับแม่”

ต๊าย มีผู้ชายตื้ออยากอยู่ด้วยแล้ว

“ก็ได้ ถ้าอยากมาก็มา ยังไงนั่นก็ไม่ใช่บ้านฉันอยู่แล้ว” แต่การถูกตามตื้อไม่ใช่ปัญหาของคนที่เคยพราวเสน่ห์อย่างเธอหรอก ผู้ชายตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้าย อีกอย่างเธอจะอวดดีกลับไปโต้อารมณ์กับพ่อครูคันศรเพียงคนเดียวคงเป็นไปไม่ได้ แพรวพราวยังไร้กำลังนัก และหล่อนรู้ดีว่าโลกใบนี้ชายหญิงไม่เท่าเทียมกัน

“งั้นข้าจักพาแม่ไปส่งประเดี๋ยวนี้เลย” ร่างกำยำค่อยๆ หยัดเดินขึ้นมาที่ริมเนินตลิ่ง เจ้ากานพลูชูงวงอย่างเริงร่าจากที่แอบฟังชายหญิงสองคนพูดคุยกันอยู่นานสองนาน มันเดินตามอีกฝ่ายขึ้นมาด้วย พรานสมิงเปิดเปลือยอวดความบาดตาบาดใจให้หญิงสาวได้เห็น แต่เมื่อเขาจะแต่งกายก็ถูกเจ้ากานพลูเอางวงมาปิดช่วงล่างเอาไว้

ให้ตายเถอะ

แพรวพราวนวดขมับตัวเอง ท่าทางว่ากว่าจะเอาชีวิตรอดในยุคนี้จนลงตัวได้ น่าจะอุปสรรคเยอะแยะน่าดู

ไหนจะวาดรักที่พ่อครูคันศรหลงรัก ไหนจะตัวเธอเองที่หลงรักเขาเพราะคิดว่าเป็นนับสิบในชาติที่แล้วอีก สุดท้ายถึงรู้ดีว่าถ้าไม่ยึดติดด้วยการตามขอความรักจากหมอผีคนนั้น เธอคงไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

มันก็แค่การยึดเหนี่ยวจิตใจ... ในยุคสมัยที่โหดร้าย และเรื่องราวเฮงซวยที่ได้เจอมา

แท้ที่จริงแล้ว... เธออาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิดก็ได้

ที่ทำก็เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น

คงเท่านั้นจริงๆ

“นับสิบ ถ้าชาตินี้ฉันไม่ได้เจอกับเธอ ไม่ได้นอนกับเธออัก ชาตินี้ก็ขอรักคนที่หน้าเหมือนเธอได้ไหม”

เพราะเมื่อไม่มีเขาแล้ว ชีวิตของแพรวพราวมันช่างเคว้งคว้างเหลือเกิน

กลับมาที่ตำหนักเข้าทรง พ่อครูคันศรรู้แก่ใจดีว่าพรานสมิงจักพาอีแพรวมาส่งให้ถึงเรือนในเพลานี้ เมื่อปะทะกันตรงๆ โดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ อธิบาย ประโยคแรกของพ่อครูที่ทักทายนั่นก็คือ

“กลับไป แล้วจงส่งมาแต่อีแพรวเสีย”

“กูจักอยู่หรือจักไป อยู่ที่แม่แพรวตัดสินใจ แลหล่อนอนุญาตให้กูมาเฝ้ายามมิให้มึงกระทำการใดล่วงเกินแล้ว” เป็นการเปิดโปงกลายๆ ว่าทางฝั่งแพรวพราวรู้แล้วว่าเขาคิดจะกระทำการใดที่เป็นอันตรายต่อเธอ หากแต่พ่อครูกลับแค่นหัวเราะหยามหยัน เขาหาได้ใส่ใจไม่

“หึ! นางมิมีสิทธิ์ตัดสินใจ ที่นี่เรือนกู ถ้ามิส่งนางมา ก็จงอย่าเข้าใกล้เรือนนี้ นอนนอกเรือนกันเสีย” วาจานั้นโหดร้ายรุนแรงแถมยังไล่ให้ไปนอนนอกบ้านอีก แพรวพราวโมโหมากแต่ต้องกัดฟันทน หล่อนอยากตบเขาสักฉาดสองฉาดให้รู้ว่าผู้หญิงที่บงการผู้ชายได้นั้นเป็นอย่างไร แต่เขาคือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ อีกอย่างใบหน้าที่คล้ายนับสิบจะเป็นรอย ส่วนเหตุผลหลักๆ คือหล่อนตกเป็นรอง เจ็บใจนักเชียวที่บ้าผู้ชาย!

“อย่าโหดร้ายเลยค่ะพ่อครู ไหนจะให้ฉันปรนนิบัติรับใช้ในเรือนไงคะ”

“แม้แต่น้ำสักตุ่มยังตักมามิได้ อย่าหวังจักอยู่เหย้าเฝ้าเรือนเลย มึงมิมีปัญญาดอก”

เอ้า ไอ้นี่

“หากเจตนาของมึงคือการที่มิให้นางไปยุ่งกับวาดรัก แม่แพรวก็สัญญากับกูไว้ว่าจักมิไปตามการไถ่ตัว แลจักยอมถอนของออกอยู่แล้ว”

ฝ่ายพ่อครูชะงักไปเมื่อเพื่อนเก่าแก่ออกปากอธิบาย ถึงดวงวิญญาณจะเป็นคนละภพชาติกันก็จริง แต่จะยอมรามือง่ายๆ ขนาดนั้นเลยหรือ

“เมื่อพระยาสิงห์หมดประโยชน์ ก็เปลี่ยนจุดหมายเลยสิหนา” แต่ถึงอีกฝ่ายจะยอมลงให้ทุกอย่างแล้ว พ่อครูคันศรโล่งใจแต่เขาก็ยังมิวายค่อนขอด อย่างไรเหตุผลก็คงไม่มีสาระสำคัญกระไร แค่เพียงมุ่งเป้าหมายมาที่ชายคนอื่นเท่านั้น อีนี่มันร่านนัก คงหลับนอนกับพรานสมิงแล้วสินะถึงได้ยอมลงเอยเช่นนี้ “ก็ดีเหมือนกัน หากแต่...”

“...”

“กูมิอนุญาตให้พวกมึงย่างใกล้เข้าเรือน ใช้ชีวิตนอกเรือนเสียสิ หรือไม่ก็อยู่กินฉันท์ผัวเมียหลังป่ากล้วยที่กูอำพรางไว้เป็นอย่างไร แน่นอนว่ากูอาจจักส่งผีกะตายโหงไปเมื่อไหร่ก็สุดแล้วแต่ใจกูหนา”

“ย่อมได้สิ กูเองก็จักปล่อยสมิงมาพังเรือนที่มึงหวงนักหวงหนาให้ราบคาบเป็นหน้ากลอง”

แพรวพราวทั้งเครียดทั้งปวดหัว อารมณ์เหมือนตัวเองเป็นสนามอารมณ์ของทั้งสองคนนี้ก็ไม่ปาน แต่ไม่ได้มาในแนวทางที่ถูกยื้อแย่งน่ะสิ ก็อีกฝ่ายที่เล็งไว้มองหล่อนอย่างชิงชังขนาดนั้น

“พอกันได้แล้วค่ะ ฉันอยู่นอกเรือนก็ได้นะ” แต่หล่อนไม่ได้ยอมแพ้ เพราะถ้าถอยกลับเท่ากับยอมจำนนต่อพ่อครูคันศรโดยดุษณี การพ่ายแพ้เป็นอะไรที่หล่อนเกลียดที่สุด ชัยชนะอันหอมหวานกำลังรออยู่ มาเล่นสงครามประสาทกันสักหน่อยเป็นยังไงล่ะ

“...”

“เพราะพรานสมิงจะสร้างเรือนให้ฉันเอง”

ไหนๆ ก็หลอกใช้ความเป็นเด็กในสังกัดของเขาหน่อยแล้วกัน

พรานสมิงแทบไม่เชื่อหูตนเอง ครานี้แม่แพรวมาในแผนการนี้สิหนา เขาคาดไม่ถึงจริงๆ คงกะจะอยู่บั่นทอนอีกฝ่ายจนกว่าจะทนไม่ไหว หล่อนช่างแปลกพิกลยิ่งนัก

พ่อครูคันศรที่ยืนอยู่ตีนกระไดเรือนกระตุกยิ้มเหี้ยมออกมา เขาประกาศสงครามกับเธอโดยเจตนา

“ก็เอาสิ ถ้ามึงมีปัญญา”

“นี่ข้าต้องเสกเรือนให้แม่ด้วยหรือนี่”

เวลาผ่านไปสักประมาณหนึ่งที่สงครามประสาทระหว่างแพรวพราวกับพ่อครูคันศรได้จบลง เสียงตอกไม้ดังเซ็งแซ่ พรานสมิงที่ชุ่มเหงื่อเพราะใช้แรงกายทั้งหมดในการประกอบเรือนหลังใหญ่พร้อมกับเจ้ากานพลูคชสารรู้งานที่คอยส่งไม้ให้สร้างฐานเรือนอย่างแข็งขัน กายแกร่งนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ ท่าทางแข็งแรงแถมมีมัดกล้ามแน่นหนาทำให้สาวเจ้าที่คุมงานอยู่ไม่ไกลโดยที่ไม่คิดจะลงมือช่วยเหลือเขาก็กอดอกจดจ้องอย่างตั้งอกตั้งใจ

ทั้งที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้กลับนั่งไขว่ห้างนั่งดูชมโดยไม่คิดจะช่วยอะไรเลย

แน่นอนว่าแพรวพราวกะจะไม่ลงแรงเองอยู่แล้ว ถ้าจะให้เปื้อนเหงื่อต้องเปื้อนเหงื่อของคนอื่นสิ คราวนี้จะยอมรับก็ได้ว่าหยิบหย่ง ถ้าไม่มีเรือนอยู่ก็ตายกันพอดี ยังไงหมอนี่ก็มีวิชาคาถาอยู่แล้วนี่

“อื้ม ขอให้เสร็จภายในวันนี้นะ ขอแบบหรูหรามีห้องน้ำส่วนตัว”

“หึ... น่าสนใจจริงๆ” กลับกันแทนที่จะโมโหโกรธเคืองที่หล่อนจงใจวางอำนาจแถมยังใช้งานเขาในฐานะเด็กในสังกัดจนหนำใจ แต่พรานสมิงนั้นกลับให้ความสนใจหล่อนมากขึ้นกว่าเดิม เขาบริกรรมคาถาพึมพำขมุกขมัวเพื่อปลดปล่อยฝูงสมิงในอาณัติ การที่เธอทำท่าทางเหมือนจะท้าทายความเก่งกาจในการใช้คาถาวิชานั้นไม่มีผล เพราะเขาฝึกฝนวิชา บำเพ็ญเพียรมาเกินร้อยปี

ปรากฏร่างเสือโคร่งนับสิบตัว พวกเขากลายร่างกลับมาเป็นเหล่าชาวบ้านผมสั้นผิวกล่ำแดดเช่นเดิม มีทั้งชายและหญิงที่หมอบคำนับหน้าชายหนุ่มกำยำและคุณคนสวย สร้างความตกตะลึงให้กับแพรวพราวเป็นอย่างมาก ถึงจะเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ก็ทำใจให้ชินไม่ได้ นี่มันออกจะแฟนตาซีเกินไปไหม

“สร้างเรือนให้ข้า ทำให้เสร็จให้ทันการในคืนนี้” พรานสมิงออกคำสั่ง พวกเขาเหล่านั้นเดินหน้าสร้างเรือนอย่างขยันขันแข็งอย่างเชื่อฟังในคำสั่งทันที

แพรวพราวนึกอยู่ในใจว่า เขานี่มันสุดยอดไปเลย ถ้าไม่ติดว่าติดพันกับนับสิบจนให้ความสนใจพ่อครูปากมอมเป็นพิเศษ เธออาจจะคว้าเขามาเป็นผัวก็ได้ ทั้งเก่งแถมยังมีบริวารเป็นสมิงที่พร้อมจะทำตามคำสั่งทุกอย่างเช่นนี้ก็ไม่เลวเลย

เรือนหลังใหญ่ปรากฏขึ้นในชั่วข้ามคืนหลังจากชาวบ้านเสือสมิงออกแรงทั้งหมดหลังพรานสมิงปูทางสร้างฐานเรือนเอาไว้เรียบร้อย แพรวพราวยืนตะลึงงันให้กับเรือนหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ดูสวยงามไม่วังเวงแบบเรือนใหญ่ของหมอผีคันศรในอีกฝั่งหนึ่ง เธอหันกลับไปชื่นชมเขาที่ยืนยืดอกภาคภูมิใจกับผลงานของตนเองเป็นขวัญกำลังใจ ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายใช้สูตรโกงแบบไม่น่าให้อภัยก็ตาม

“เก่งจังเลย แบบนี้ค่อยคุ้มค่ากับการเซ็นสัญญาด้วยหน่อย”

“ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าของตอบแทนคือกระไร ข้าสั่งให้พวกเขาสร้างห้องที่เราจักได้หลับนอนร่วมกันไว้อยู่แล้ว” หากแต่ก็ลืมไปว่าเขามีข้อแม้ที่ถ้าหล่อนจะเอาเขามาเป็นตัวบัคประจำกายคงต้องยอมให้อยู่ใต้ชายคาเดียวกันอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนผู้ชายคนนี้จะชื่นชอบเธอน่าดู

เพราะฉะนั้นแพรวพราวคงต้องตั้งกฎข้อบังคับระหว่างเธอกับเขาเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

“ก็ได้นะ แต่กฎของฉันกับนาย คือห้ามแตะต้องตัวกันอย่างเด็ดขาด ห้ามมีเซ็กซ์ และห้ามรักฉันด้วย” อีกอย่างก็เพราะกลัวใจตนเองอยู่เหมือนกัน พรานสมิงงานดีขนาดนี้ ถ้าไม่ยึดติดรักเดียวใจเดียวจริงๆ คงยากที่จะหักห้ามใจไม่ให้หลงรักเขา

บทก่อนหน้า
บทถัดไป