บทที่ 6 ตอนที่4
ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆ
“จะไปไหนเนี่ย!!”เสียงหวานของเธอร้องเอะอะโวยวาย ผมก็วิ่งสุดแรงและให้เร็วที่สุดโดยไม่ได้มองทางเบื้องหน้าเลยด้วย ว่าผมจะวิ่งไปไหนกัน…..และวิ่งหนีไปทำไม…
?
ถ้าคนเราตายแล้วเลือกการเกิดใหม่ได้
คุณอยากเกิดเป็นอะไรครับ?
แต่สำหรับผม
ขอแค่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงปลุกจากคนที่เรียกว่าแม่
มีอาหารวางรออยู่บนโต๊ะ
มีคนที่ผมเรียกว่าพ่อนั่งรอผมทานข้าวอยู่ที่หัวโต๊ะด้วยใบหน้าที่เปื้อยไปด้วยรอยยิ้ม
เราอาศัยอยู่ในบ้านหลังน้อยกันสามคนพ่อแม่ลูก
ผมขอแค่นี้ก็พอแล้ว…(ไดร์ฟ)
ไอริส อันฤดี…..
พรึบ
“โอ้ย!”ฉันร้องออกมาอย่างเจ็บปวดที่ร่างของฉันไถลล้มไปกับพื้นปูนซีเมนต์เพราะขาของฉันไร้เรี่ยวแรงที่จะวิ่งต่อแล้วทำให้คนที่ลากร่างของฉันอยู่ต้องหยุดฝีเท้าลงตามฉันไปด้วย เขาก็ปล่อยมือจากข้อมือฉันไปทันที
“ฮืฮอออออเจ็บ”ฉันร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดแสบกับบาดแผลที่โดนพื้นปูนซีเมนต์บาดเอา เลือดสีแดงสดไหลรินออกซึมๆมาตามท่อนขาของฉันรวมไปถึงข้อศอกของฉันด้วย
“ฉันจะตายไหม….”ฉันเอ่ยออกไปพลางมองสำรวจบาดแผลที่อาบโชคไปด้วยเลือดสีแดงสดด้วยท่าทางกลัวตาย
“เธอจะกลัวทำไม….กับแค่ตาย…”เสียงเรียบเฉยอย่างไร้อารมณ์ถูกเอ่ยออกมาจากผู้ชายร่างสูงโปร่งที่แต่งตัวเต็มยศทั้งเสื้อเชิ้ตสีดำที่ปลดกระดุมเม็ดบนออกสองเม็ดเผยให้เห็นรอยสักที่ต้นคอเป็นรูปสมอเรืออยู่ตรงกลางพวงมาลัยเรือและรูปหน้าเสือโคร่งที่หน้าอกข้างซ้ายของเขาแถมเขายังใส่ต่างหูห่วงเงินทั้งสองข้างรวมไปถึงเจาะจมูกอีกด้วย โอ้ว้าววว!ทรงแบดจริงๆ
“คนบ้าอะไรบ้างอ่ะ…ไม่กลัวตาย!!”ฉันแผดเสียงไปอย่างเอาเรื่องเขาที่ทำให้ฉันล้มหมดสภาพอย่างนี้และยังมาว่าฉันอีก ฉันว่าเขาพร้อมกับเอามือปาดน้ำตาตัวเองไปด้วย
พรึบ
“จะกลัวทำไม…คนเราเกิดมาก็ต้องตาย…”
“แต่ฉันยังไม่อยากตาย…!”ฉันตะโกนบอกเขาไป
“ชีวิตของฉันกำลังดีมากกกกกก”ฉันลากเสียงยาว เขาก็มองหน้าฉันด้วยสายตาตกละตึง มองๆไปเขาก็จัดว่าเป็นผู้ชายที่หล่อเหมือนกันนะ เรือนผมสีน้ำตาลเข้มคิ้วดกดำจมูกโด่งริมฝีปากสีชมพูใบหน้าขาวใสผิวขาวเนียนยิ่งกว่าผู้หญิง ดูๆไปเขามีออร่ามากกว่าผู้ชายธรรมดาทั่วไปเสียอีกนะ
“หึ…..”เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะหันหลังเดินจากฉันที่นั่งอยู่กับพื้นปูนซีเมนต์ไปอย่างไร้เยื่อใย ไอ้คนใจร้าย!!!
“หยุดนะ!!”แต่ฉันก็ตะโกนเสียงดังเรียกรั้งเขาไว้ซะก่อนทำให้เขาต้องหยุดชะงักฝีเท้าลงและเอี้ยวคอหันมามองหน้าฉันแค่ซีกเดียว
“ช่วยดึงฉันขึ้นไปหน่อย…”ฉันว่าพร้อมกับยื่นมือไปตรงหน้าเขา เขาก็ทำหน้าเบื่อหน่ายรวมไปถึงเบื่อโลกใส่ฉันและทำท่ายึกยักเหมือนจะไม่ยอมเดินมาช่วยฉันอีกตั้งหาก
“นายทำฉันล้ม….แถมทำโทรศัพท์ของฉันแตกอีกด้วย!”
“นายต้องรับผิดชอบ!!!”ฉันแผดเสียงพร้อมกับทำหน้าบึ้งตึงอย่างเอาเรื่อง นายนั้นก็ถอนหายใจออกมาเสียงดังก่อนจะเดินตรงกลับมาหาฉันด้วยท่าทางไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
พรึบ
“ก็แค่เนี่ย”ฉันพึมพำขึ้นและยื่นมือไปจับมือเขาที่ยื่นมาให้ฉันและเขาก็ออกแรงดึงร่างของฉันให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ฉันไม่ขอบคุณนะ….”ฉันบอกเขาไปเสียงเรียบและไม่ได้หันไปมองหน้าเขาด้วย เลยไม่รู้ว่านายหน้าหล่อนั่นกำลังทำหน้ายังไง แต่หน้าตาเขาหล่อผิวพรรณดี ดูเปล่งปลั่งออร่ามากแต่ทำไมแววตาของเขากลับดูเศร้าหมองจัง?
พรึบ
“โอ้ย…”ฉันร้องออกมาอีกครั้งเมื่อฉันลองเดินแต่ก็รับรู้ได้ถึงความปวดแผล นายนั้นก็ปล่อยมือฉันตั้งแต่เขาดึงฉันให้ลุกขึ้นและเดินหนีไปแล้วด้วย
คนอะไรใจร้ายชะมัด!!
พรึบ
“จะกลับบ้านยังไงเนี่ย?”
“ตรงนี้ที่ไหนก็ไม่เคยมาด้วยสิ….”ฉันพึมพำขึ้นเมื่อพาตัวเองมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างทาง จะว่าข้างทางก็ไม่ใช่ เพราะตรงนี้ไม่ได้อยู่ติดถนนแต่มันเป็นเหมือนสวนสาธารณะ เป็นพื้นที่วงกลมมีต้นไม้รายล้อมและมีพื้นปูนซีเมนต์อยู่ตรงกลางด้านข้างเป็นต้นหญ้าที่มีความสูงระดับเท่ากันทุกต้น ดีที่ยังมีแสงสว่างที่ส่องลงมาจากหลอดไฟของเสาไฟฟ้าต้นสูงให้พอมองเห็นไปได้ทั่วทั้งบริเวณนี้ได้
ทำให้ที่นี่ดูไม่น่าวังเวงสักเท่าไหร่
พรึบ
“อะไร?”ฉันค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมองฝ่ามือขาวจนมองเห็นเส้นเลือดที่มือได้อย่างชัดเจนที่ยื่นถุงพลาสติกมาตรงหน้าฉันและมองเลยขึ้นไปมองยังใบหน้าของเขาที่เรียบเฉยไร้อารมณ์สุดๆของผู้ชายคนเดิมที่ฉันซวยตั้งเเต่วินาทีแรกที่เจอเขา!
“กลัวตายไม่ใช่เหรอไง?”เขาพูดเสียงเรียบเฉยหน้าตาไร้อารมณ์ออกมาทำให้ฉันก็ทำหน้างงใส่เขา
“ล้างแผลดิ….”
“ฉันก็ไม่ขอบคุณอีกเหมือนเดิม….”ฉันก็เข้าใจที่เขาพูดจึงเอื้อมมือไปหยิบถุงพลาสติกนั้นมาจากมือเขาอย่างไวและเอ่ยบอกเขาไป
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”เขาไหวไหล่เล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจก่อนที่เขาจะค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกับฉันและนั่งข้างๆฉัน
ฉันก็เริ่มเปิดถุงพลาสติกดูว่าเขาเอาอะไรมาบ้าง ก็มีน้ำยาแอลกอฮอล์ล้างแผลหนึ่งขวดใหญ่ยาแดงใส่แผลหนึ่งขวดใหญ่ยาแก้ปวดยาแก้อักเสบอย่างละสามชุดและสำลีอีกหนึ่งห่อใหญ่
“ทำไม….เธอถึงกลัวตาย….”อยู่ดีๆเขาก็เอ่ยขึ้นถามคำถามที่ฉันไม่คิดว่าคนปกติทั่วไปจะคิดแบบนี้ ใครบ้างล่ะไม่กลัวตายน่ะ ทุกคนกลัวตายกันทั้งนั้นแหละ ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตายทุกคนจะช้าหรือจะเร็วก็แค่นั้นแหละ
“ก็ฉันกำลังมีความสุขอยู่กับชีวิตของฉันในตอนนี้มากกกกกก”ฉันบอกเขาไปตามความจริง
“ยังไง?”เขาขมวดคิ้วมองหน้าฉันอย่างงุนงงและสงสัย ฉันก็ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะค่อยๆเล่าเรื่องของฉันที่ฉันมีความสุขให้เขาฟัง ว่าฉันมีความสุขยังไงบ้างกับชีวิตของฉันในตอนนี้^_^
“ฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันรัก….และฉันชอบมาตั้งแต่ๆเด็กๆ…”
“ฉันได้ประสบความสำเร็จตามความฝันของฉัน…ด้วยอายุแค่ยี่สิบกว่าๆ…ฉันมีความสุขกับชีวิตของฉันในตอนนี้ที่ไม่ต้องแบมือของเงินพ่อแม่…”
