บทที่ 3 เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง 2
“เพราะเจ้าคือคนพิเศษ สิ่งที่เจ้าต้องปฏิบัติขณะอยู่ที่นี่คือศึกษาทุกอย่างที่ข้าจะสอนให้เจ้า เมื่อถึงเวลาสมควรเจ้าจะได้กลับไปยังโลกมนุษย์อีกครั้ง แต่ครานี้มิใช่โลกใบเดิมที่เจ้าจากมา” แม้จะชาญฉลาดมากแค่ไหน แต่วชิระอยากเอาหัวโขกดินให้หายมึนงงจากสิ่งที่ได้ยินและได้เห็นสักครั้ง เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี หรืออีกนัยน์หนี่งคือเขาอาจไม่อยากจะยอมรับในสิ่งที่ได้ยินก็เป็นได้
‘หรือว่านี่เป็นความฝันกัน แต่หากเป็นความฝันทำไมมันถึงเจ็บปวดได้’
“ต่อไปนี้เจ้ามีชื่อว่าชงหยวน แซ่ จิว ความหมายของมันคือโชคชะตาแห่งความฉลาด และเรียกข้าว่าอาจารย์” วชิระเงยหน้ามองคนที่ตั้งชื่อให้แล้วนิ่วหน้า จิวชงหยวน อย่างนั้นหรือ สองขาคุกเข่าลงก่อนจะคำนับเหมือนซีรีย์หนังจีนที่เคยดูมา
“จิวชงหยวนคารวะท่านอาจารย์” เทพโอสถมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะเสกจอกน้ำชาให้ลูกศิษย์คนแรกและคนเดียวยื่นให้ตนตามพิธี
“ต่อไปนี้เจ้าคือลูกศิษย์คนแรกและคนเดียวของเทพโอสถ แต่หากใครเอ่ยถามว่าอาจารย์เจ้าคือผู้ใดจงตอบเพียงแค่ว่า อาจารย์เจ้าเป็นเซียนผู้หนึ่งก็พอ” จิวชงหยวนมองหน้าอาจารย์อย่างครุ่นคิด ก่อนจะตอบกลับอย่างหนักแน่น
“ครับอาจารย์”
“ดีมาก ข้ารู้ว่าเจ้ายังสับสนและร่างกายเจ้ายังไม่ฟื้นดี พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มสอนเจ้า วันนี้เจ้าทำตัวให้คุ้นเคยกับที่นี่ไปก่อนแล้วกัน” เทพโอสถบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะเลือนหายไปปล่อยให้จิวชงหยวนอ้าปากค้างมองตามอย่างตกใจอีกครั้ง
หากมันเป็นความฝันนับว่าเป็นฝันที่แปลกประหลาดยิ่งนัก วชิระหรือจิวชงหยวนถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาอยากจะตื่นขึ้นมาแล้วบอกตัวเองว่านี่เป็นเพียงความฝันที่ไร้สาระเท่านั้น แต่ความรู้สึกที่ขัดแย้งภายในใจกลับบอกว่านี่คือความจริงอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
ผัวะ!
เจ็บ!
“นั่นเจ้าตบหน้าตัวเองทำไม” เสียงที่เอ่ยถามทำให้จิวชงหยวนหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ใบหน้าดูงดงามคล้ายผู้หญิงไปหลายส่วน แต่การแต่งกายบ่งบอกว่าเป็นชาย
“เจ้าเป็นเซียนคนใหม่หรือ แต่ว่าทำไมเจ้าถึงยังมีกลิ่นไอของมนุษย์อยู่” ชายผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้พร้อมมองสำรวจร่างเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด ทำให้จิวชงหยวนถอยหลังหนีพร้อมมองคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ คนอะไรเสียมารยาทนัก ไม่รู้จักกันยังมามองด้วยสายตาแบบนั้นอีก
“อ่า โทษที ข้ามิเคยเห็นเซียนที่มีกลิ่นไอมนุษย์มาก่อน”
“นายเป็นใคร” จิวชงหยวนเอ่ยถามเสียงแข็ง ทว่ากลับทำให้คนฟังเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ เพราะการพูดที่ค่อนข้างแปลกประหลาด
“ข้าลู่เฟย ว่าแต่เจ้าพูดจาแปลกๆ แต่ช่างเถอะเทพโอสถอยู่หรือไม่” ลู่เฟยเอ่ยถามแล้วทะยานเข้าไปในกระท่อมอย่างไม่ใส่ใจรอคำตอบ ทำให้จิวชงหยวนถึงกลับคิ้วกระตุก ปกติเขาเป็นคนใจเย็นแต่เซียนหนุ่มตรงหน้านี่มันกวนโมโหชะมัด
“จิวชงหยวนมานี่สิ ข้าจะแนะนำคนที่จะมาสอนวิชาให้เจ้าอีกคน” เสียงของอาจารย์ที่ตะโกนเรียกทำให้จิวชงหยวนเดินกลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง และเห็นเซียนผู้นั้นมีสีหน้ายิ้มแย้มจนน่าหมั่นไส้
“นี่ลู่เฟยเขาเป็นแม่ทัพสวรรค์ ข้าวานให้มาสอนวิชาการต่อสู้ให้เจ้า” คำตอบของอาจารย์ทำให้จิวชงหยวนติดสตั้นไปสามวิ หันขวับสำรวจร่างของว่าที่อาจารย์อย่างเสียมารยาท มองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก็ยังไม่เห็นว่าจะมีส่วนไหนสมกับที่จะเป็นอาจารย์ แต่ว่าเมื่อครู่อาจารย์บอกว่าคนตรงหน้านี่นะเป็นแม่ทัพสวรรค์ ว่าแต่องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ใช้อะไรตัดสินกัน
“ฮ่าๆๆ ชงหยวน เจ้าอย่าได้ดูถูกฝีมือลู่เฟยเชียว หากเจ้าได้ฝึกกับเขาอย่ามาร้องโอดโอยขอยาข้าล่ะ” เทพโอสถกล่าวหยอกล้อลูกศิษย์ที่แสดงสีหน้าจนน่าขบขัน ทว่าคนที่โดนดูถูกกลับยิ้มร่าเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
จิวชงหยวนยิ้มเหยกับคำกล่าวของอาจารย์ ครั้นเมื่อเห็นใบหน้าร่าเริงของแม่ทัพสวรรค์ก็อดหมั่นไส้ไม่ได้
“อ้อ นี่ป้ายหยกตัวตนของเจ้า” จิวชงหยวนรับป้ายหยกสีขาวออกเขียว ลวดลายหงส์มังกรมาดูและยังมีชื่อของเขาติดอยู่ที่ป้ายด้วย ‘จิวชงหยวน’
“ขอบคุณครับอาจารย์” จิวชงหยวนตอบรับพร้อมนำป้ายหยกมาห้อยไปไว้ข้างเอว และนั่นทำให้เขาเพิ่งสังเกตตัวเองว่าชุดที่ใส่ไม่ใช่เสื้อเชิ้ตแต่กลับเป็นชุดสีขาวขลิบเงินดูสง่างามไม่น้อย แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อแม่ทัพสวรรค์เสกกระจกบานใหญ่ขึ้นมาตรงหน้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
นั่นใคร!
ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์คล้ายกลับไปเป็นหนุ่มวัยรุ่นตอนสิบแปดสิบเก้าปีอีกครั้ง และมันเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบเอามากๆ เพราะหน้าตามันออกหวานไปทางผู้หญิงมากกว่า พอโตขึ้นมายี่สิบสามใบหน้าเขาถึงดูคมคายขึ้นมาหน่อย แล้วนี่ใครคิดอุตริแปลงโฉมหน้าเขากัน อีกทั้งส่วนสูงหายไปราวห้าเซ็นต์ นี่มันหมายความว่าอย่างไร!
“เจ้าโดนฟ้าผ่าแรงไปหน่อย หน้าเจ้าเลยดูเด็กลง ส่วนสูงเจ้าก็ลดลงมานิดหน่อยเอง” เทพโอสถกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าที่เหมือนจะฆ่าคนได้ของลูกศิษย์
คำกล่าวของอาจารย์ทำให้จิวชงหยวนหันกลับมามองอย่างแปลกใจ นี่เขาโดนฟ้าผ่าจนอายุลดเลยหรือไง หากเป็นคนอื่นคงปลื้มปิติยืนรอให้ฟ้าผ่าเพื่ออยากลดอายุตัวเอง แต่ไม่ใช่เขา มันต้องมีอะไรมากกว่าที่อาจารย์บอกแน่ ดวงตาเรียวหรี่ตามองอาจารย์ที่ยืนลูบหนวดเครามองลูกศิษย์ด้วยรอยยิ้ม
“อาจารย์ยังบอกผมไม่หมดใช่ไหมครับ” คำถามคล้ายข่มขู่ของจิวชงหยวน ทำให้ลู่เฟยหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างชอบใจ ทว่าสีหน้าอาจารย์กลับซีดลงเล็กน้อย
“เจ้าแค่ต้องใช้ใบหน้านี้ไปตลอดอายุขัยของเจ้าเท่านั้นเอง” คำตอบที่ได้รับหนักกว่าโดนฟ้าผ่าลงกลางหัวเสียอีก ก่อนจะกัดฟันเอ่ยถามอีกครั้ง
“อายุขัยผมเหลืออีกเท่าไรครับ” คำถามของลูกศิษย์ทำให้เทพโอสถยกนิ้วคำนวณฟ้าดินชั่วครู่ หากเป็นคนอื่นอาจผิดกฎสวรรค์แต่นี่เป็นคนพิเศษจึงไม่เป็นไร นิ้วเรียวที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลาชูขึ้นห้านิ้ว ทำให้จิวชงหยวนพยักหน้ารับ
“ห้าสิบปีสินะ เฮ้อ เวรกรรม”
“เปล่า ห้าร้อยปีต่างหาก” คำตอบที่ได้ทำให้จิวชงหยวนมองอาจารย์ตาโตอีกครั้ง วันนี้ยังมีอะไรให้เขาตกใจอีกไหมจะได้ทำใจไปเสียทีเดียว
“อาจารย์ผมเป็นมนุษย์นะครับ ไม่ใช่เซียนจะมีอายุได้มากมายเพียงนั้น” จิวชงหยวนเถียงกลับ ก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ข้างแม่ทัพสวรรค์อย่างเพลียหัวใจ
“ก็ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าเป็นคนพิเศษ”
แม้คำตอบจะไม่ได้กระจ่างอย่างที่ใจต้องการ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริง เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แต่มันคงเป็นภารกิจอะไรสักอย่างที่สวรรค์อยากให้เขาทำ แต่ในใจลึกๆ ได้แต่หวังว่านี่เป็นความฝันเท่านั้น ตื่นมาพรุ่งนี้คงได้กลับไปยังโรงพยาบาล และได้รักษาคนไข้อีกครั้ง...
