บทที่ 5 การฝึกฝนที่เลือดตาแทบกระเด็น 2
จิวชงหยวนหลับตาลงทำสมาธิให้หยุดนิ่งแล้วก้าวเดินอย่างแผ่วเบาฟังเสียงรอบกาย เสียงลม เสียงใบไม้ไหว และเสียงน้ำกระเพื่อมเบาๆ เขาไม่รู้เลยว่าตนใช้เวลาไปนานเท่าไรกับการทำสมาธิ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นลู่เฟยเสียแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติเพราะหากเป็นช่วงที่ใช้สมาธิลู่เฟยจะหายไป
การเดินบนผิวน้ำดูเหมือนง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก หากแต่การเดินบนผิวน้ำแต่ไม่ให้น้ำกระเพื่อมไหวนั้นยากเกินกว่าที่คนปกติจะทำได้ จิวชงหยวนใช้เวลาไปถึงสามวันกว่าจะทำได้อย่างที่พอใจ แม้อาจารย์จำเป็นจะบ่นและชอบด่าเขาว่าโง่ต่างๆนาๆ แต่พอนานไปเขากลับชินชาจนอดคิดได้ว่าหากวันไหนไม่โดนด่าก็คงจะนอนไม่หลับ
เข้าเดือนที่แปดที่จิวชงหยวนอยู่บนหุบเขาแห่งเซียน ตอนนี้เขาสามารถปรุงยาแปลกๆ ขึ้นได้หลากหลายชนิด กระทั่งยาแก้ปวดลดไข้คล้ายกับยาพาราในโลกปัจจุบัน เขาก็ทำสามารถปรุงได้สำเร็จ
แม้ว่าตัวยาคนละอย่างแต่สรรพคุณเหมือนกัน อีกทั้งยาแก้โรคหัวใจ ยารักษาลมปราณให้สงบ แม้แต่ยาอายุวัฒนะเขาก็ทำได้สำเร็จ แต่อาจารย์กลับบอกว่ามันเป็นอันตรายต่อโลกมนุษย์หากมีใครรู้เข้าจักต้องเกิดหายนะขึ้นแน่
เขาจึงสร้างเพียงสามเม็ดเท่านั้นและเก็บไว้ในกล่องอย่างดี ณ ตอนนี้ไม่มีสมุนไพรตัวไหนที่เขาไม่รู้จัก แม้แต่ยาวิเศษไม่มีสี ไม่มีรส ไม่มีมีกลิ่น เขายังสามารถสัมผัสมันได้
ช่วงบ่ายจิวชงหยวนก็ไปฝึกกระบี่กับลู่เฟยตามปกติ แต่วันนี้กลับมีอาจารย์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เธอเป็นหญิงสาวที่สวยงามมากจนไม่เคยคิดว่าจะมีใครสวยเท่านี้มาก่อน รอยยิ้มอ่อนโยนของคนตรงหน้าที่ส่งมา ทำเอาชายหนุ่มหน้าแดงอย่างบอกไม่ถูก แต่หากได้รู้จักแล้วจะรู้ว่าสวยสังหารเป็นเช่นไร
ตูมๆ ๆ ๆ
“ช้าไป”
เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
“เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือไง!”
เสียงหวานตะโกนสั่งอย่างหงุดหงิดพร้อมเข็มพิษมากมายพุ่งเข้าหาจิวชงหยวนนับพันเล่ม ชายหนุ่มใช้ทั้งกระบี่และตีลังกาหลบก็ยังหลบไม่พ้น ดีที่ร่างกายเขาชินชากับยาพิษเสียแล้ว หากแต่รู้สึกเจ็บแปลบตามรอยเข็มที่จิ้มบนตัวเท่านั้น
“ไม่ได้เรื่อง!”
เสียงหญิงสาวบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด พร้อมเพิ่มจำนวนเข็มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้จิวชงหยวนต้องเพิ่มความเร็วของตัวเองเพิ่มเป็นเท่าตัว
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
ตอนนี้เขาทำลายเข็มพิษไปหมดแล้วแต่ต้องมายืนหอบอย่างเหนื่อยๆ และครั้งนี้ทำให้จิวชงหยวนจดจำไปจนตายว่า คนสวยมันอันตรายและไม่น่าไว้วางใจที่สุด
“พวกท่านลืมไปหรือเปล่าว่าข้าเป็นมนุษย์” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย และคำถามของเขาก็ดึงสติของหญิงงามได้ เธอส่งยิ้มแหยมาให้ก่อนจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“แต่เจ้าเป็นมนุษย์สุดพิเศษ และมันก็ไม่ต่างจากพวกเซียนเท่าไร แค่มีกายหยาบเท่านั้นเอง” เสียงหวานที่ตอบโต้กลับมาทำให้จิวชงหยวนกรอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ
“เกิดข้าพลาดท่าตายขึ้นมาจะทำอย่างไร อย่าบอกนะว่าจะไปฉุดข้าจากยมโลกให้กลับมาทำหน้าที่ตัวเองอีก”
“เอาน่าทำหน้าน้อยใจไปได้ ยังไงเจ้าก็ไม่ตายเพราะพิษอยู่แล้วนี่ ลู่เฟยเตรียมตัว” เยว่ฉิงเอ๋อตอบกลับพร้อมหันไปบอกสหาย ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ารับก่อนจะมีกระบี่นับสิบเล่มบินร่อนรอบตัว ดวงตาคมมองจิวชงหยวนที่อ้าปากค้างมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจและไม่ต้องให้มีใครเอ่ยเตือน เขาก็วิ่งหลบด้วยความเร็ว ทว่ากระบี่เหล่านั้นกลับวิ่งตามเขาด้วยความเร็วเหมือนมันมีชีวิต
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
ตูม ตูม ตูม...
กระบี่บินโจมตีจิวชงหยวนด้วยความเร็ว รุนแรง ดุเดือด กระบี่ในมือตวัดต่อต้านโจมตีกลับด้วยความเร็ว ก่อนจะร้องออกมาเมื่อเข็มพิษนับพันเล่มพุ่งเข้าหาอย่างไม่เอ่ยเตือน
ว๊ากกกก
!
เปรี๊ยะๆ
ตูม ตูม ตูม...
อึก!
จิวชงหยวนกระอักโลหิตออกมาคำโตแต่คงไม่มีเวลามากินยาแก้ช้ำพลังภายใน เพราะกระบี่ตรงหน้าไม่ปล่อยโอกาสให้ตั้งตัว เจ้าตัวพยายามทำจิตใจให้แน่วแน่ รวมตัวรวมจิตเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ตวัดฟาดฟันทั้งกระบี่บินและเข็มพิษพร้อมระเบิดพลังลมปราณทำลายกระบี่ที่เหลือด้วยความเร็ว
ตูม!
จิวชงหยวนกลับมาเป็นคนอีกครั้ง ดวงตาเรียวมองภาพตรงหน้าอย่างสะใจ เพราะเทพสองคนนั้นถอยหลังไปถึงสามก้าว ตั้งสามก้าวเชียวนะ สุดยอดเลย เพราะตั้งแต่ฝึกมาไม่เคยมีครั้งไหนเลยจะทำให้อาจารย์ถอยหลังได้อย่างวันนี้
“เจ้าเก่งขึ้นมาก คงถึงเวลาที่จะลงไปยังโลกมนุษย์แล้วล่ะ” ลู่เฟยเดินเข้ามาหาคนที่หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะสลบกลางอากาศอย่างกะทันหันเพราะใช้พลังไปจนหมดเกลี้ยงเดือดร้อนถึงลู่เฟยรีบคว้าตัวร่างบางไว้ ก่อนจะพาทะยานกลับไปยังกระท่อม เยว่ฉิงเอ๋อเองก็ติดตามมาติดๆ
“อ้าววันนี้สลบมาเลยหรือ” เทพโอสถเอ่ยถามลู่เฟยที่แบกจิวชงหยวนกลับมา
“การทดสอบถือว่าผ่านแล้ว ท่านจะส่งตัวลงโลกมนุษย์เลยหรือไม่หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมา” เยว่ฉิงเอ๋อเอ่ยถามเทพโอสถขณะเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างกายและรับจอกน้ำชามาดื่มช้าๆ
“แล้วเจ้าคิดว่าชงหยวนจะพลาดท่าตายง่ายๆ หรือไม่” เทพโอสถเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“สำหรับข้า หากคิดจะสังหารชงหยวนจริงๆ ต้องมีฝีมือในยุทธภพอันดับสิบลงมาไม่ต่ำกว่าสิบคน ทั้งระดับปรมาจารย์ก็คงสู้ชงหยวนไม่ได้ แต่หากใช้เล่ห์เหลี่ยมชงหยวนนับว่าอ่อนหัดยิ่งนัก” คำตอบของเยว่ฉิงเอ๋อทำให้เทพโอสถพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะจิวชงหยวนมาจากภพภูมิที่แตกต่างจากที่แห่งนี้มาก เรียนรู้ได้มากขนาดนี้ภายในแปดเดือนก็ถือว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก
“ฉิงเอ๋อเจ้ากล่าวแบบนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะจากที่ข้ารู้จักชงหยวนมาแปดเดือน ข้ารู้ว่าเจ้าตัวยังเก็บงำความเจ้าเล่ห์ไว้มากนัก แต่ชงหยวนเห็นว่าพวกเราเป็นเทพจึงไม่อยากต่อกรเพราะรู้ว่าสุดท้ายก็ต้องแพ้อยู่ดี”
