บทที่ 3 บทที่ 3.
“ค่ะ พ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง สวัสดีค่ะ” เธอยิ้มให้คนทั้งคู่อย่างอ่อนโยนในไมตรีนั้น อโนมายิ้มกับภาพความน่ารักของสามีภรรยาที่เดินประคองกันออกไปด้วยความสุขแล้วยิ้มกับตัวเองพลางนึกถึงคนที่อยู่ไกลแสนไกลและไม่มีวันหวนกลับมาเพื่อมาฟังความในใจที่อยากจะบอกกล่าวแก่เขาคนนั้น
“นนท์ นนท์จะรู้ไหมว่า อ้อนคิดถึงนนท์มากแค่ไหน” อโนมารำพึงเบาๆ ในใจนัยน์ตาโศกซึ้งหม่นเศร้าลงทันทีอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวถอนใจเบาๆ แล้วเดินกลับบ้านพักของตัวเอง ซึ่งเป็นบ้านพักแบบล้านนาหลังเล็กบริเวณด้านหลังโรงแรมที่จะเป็นโซนบ้านพักสำหรับผู้ที่มาเป็นครอบครัวและอยากมาพักผ่อนอย่างสงบ และเป็นส่วนตัวด้วยบรรยากาศของสวนสวยที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ดอกไม้ที่จัดแต่งอย่างสวยงามดั่งอยู่ในสวนสวรรค์ กรุ่นกลิ่นหอมรวยรื่นของดอกไม้ไทยทั้งราตรี ลีลาวดี โมกข์ตลอดจนดอกแก้วที่ตอนนี้ออกดอกสะพรั่งเต็มต้นหน้าบ้านพักของเธอ
อโนมาเดินทอดน่องไปยังศาลาริมน้ำที่มีน้ำพุพวยพุ่ง ละอองซ่านกระเซ็นต้องแสงแดดยามบ่ายคล้อยเป็นประกายวาววับจับตา มือเรียวหยิบดอกลีลาวดีสีขาวนวลที่ร่วงหล่นลงมาตรงหน้าขึ้นสูดดมพลางทรุดนั่งพับเพียบบนพื้นศาลาที่ขัดมันวาวแล้วเอนพิงระเบียงไม้เตี้ยๆ ฉลุลวดลายงดงาม ดวงตาสวยซึ้งที่ปนแววโศกยามเจ้าตัวอยู่ในภวังค์ความคิดทอดมองไปที่ท้องน้ำที่กว้างไกลราวจะปล่อยใจให้ลอยล่องไปไม่มีที่สิ้นสุดและยากจะคาดเดาว่าสาวเจ้าคิดถึงสิ่งใด ใบหน้านวลสวยซึ้งสงบนิ่งราวกับว่าโลกนี้มีเพียงเธออยู่เพียงลำพัง เธอมักจะมีโลกส่วนตัวที่เพื่อนรัก อรุณนารีและเนตรนาราเท่านั้นที่เข้าถึง เพราะอาการที่เธอเป็นอยู่นี้เพื่อนสาวทั้งสองจะรู้และเข้าใจเป็นอย่างดี และมันก็เป็นปมในใจของเธอที่ไม่อาจลบเลือนไปได้ ทุกวันนี้เธอยังเจ็บปวดและจมอยู่กับมันจนไม่มีช่องว่างใดๆ ให้ใครเข้ามาช่วยบรรเทาให้มันบางเบาลง
ภาพหญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดไทยล้านนาสีงาช้างยามนี้ต้องแสงแดดอ่อนของดวงตะวันที่คล้อยต่ำลงเป็นประกายสว่างนวลเรืองรอง ช่างเป็นภาพที่งดงามสะกดให้ชายหนุ่มร่างสูงสมาร์ตหยุดมองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ร่างแกร่งนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ซึ่งปลดกระดุมลงมาสองเม็ดเพื่อระบายความอบร้อนของร่างกาย แขนเสื้อพับขึ้นมาที่ข้อศอกเผยให้เห็นท่อนแขนแกร่งขาวสะอาดประปรายด้วยขนอ่อนที่เรียงตัวเป็นระเบียบ เสื้อสูทสีดำเนื้อดีถูกพาดไว้ที่ท่อนแขนแข็งแรง เขาหยุดมองภาพหญิงสาวที่นั่งพับเพียบอยู่ในศาลาริมน้ำตรงหน้าดั่งต้องมนต์ สวยเหมือนนางในวรรณคดี คือคำนิยามที่สมองอันเฉลียวฉลาดของ อัคคี จงบริบูรณ์ไพศาล จะคิดออก
เธองดงามจนแทบลืมหายใจ โอ...หรือมันเป็นเพียงภาพลวงตา ชายหนุ่มบอกตัวเอง แม้แค่ได้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธอแค่นั้นก็ทำอัคคีรู้ว่าใบหน้านั้นต้องงดงามอย่างแน่นอน เธอทำให้ใจของชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเพลย์บอยตัวฉกาจสั่นไหวอย่างรุนแรง ดุจว่าโดนช็อตด้วยไฟฟ้าแรงสูงกระนั้น
หัวใจหนุ่มที่ไม่เคยต้องหวั่นไหวเพราะหญิงใด เต้นแรงเหมือนหนุ่มน้อยแรกริรัก ทั้งๆ ที่ตลอดระยะเวลาสามสิบสามปีในชีวิตของอัคคี มีหญิงงามมากหน้าหลายตาผ่านเข้ามาให้เชยชมอยู่มิได้ขาด และแต่ละนางก็ได้ชื่อว่าสวยบาดใจ ทั้งดารานางแบบ ทั้งในและต่างประเทศ เขาก็ได้เชยชมมาแล้วทั้งสิ้น แต่คราวนี้อัคคี กลับหวั่นไหวรุนแรง และหัวใจยิ่งเต้นกระหน่ำเหมือนกลองศึกเมื่อใบหน้าของเธอค่อยๆ หันมาทางด้านที่เขายืนอยู่ คล้ายกับว่าเจ้าตัวเริ่มรู้สึกว่ามีคนมองอยู่... อัคคีตื่นเต้นจนแทบลืมหายใจเมื่อเห็นดวงหน้านั้นชัดๆ...
ดวงตาทั้งสองคู่สบกันโดยไม่ตั้งใจ แต่กระนั้นก็ได้ทำให้ดวงใจสองดวงเต้นแรงแทบประทุโดยไม่รู้สาเหตุ ดวงตาสวยซึ้งดูตระหนกระคนตื่นเต้น ร่างกายชาวาบร้อนสลับหนาว จนเธอรู้สึกสับสนกับตนเอง ริมฝีปากอวบอิ่มเผยออย่างลืมตัว มองชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นนิ่ง
ชายหนุ่มตรงหน้าเธอนั้นร่างสูงนั้นสูงราว 185 เซนติเมตร ผิวขาวสะอ้าน ใบหน้ายาวเรียวได้รูปมีไรหนวดเขียวครึ้มประดับอยู่บนใบหน้า ดวงตายาวรีบ่งบอกว่ามีเชื้อสายจีน แต่ไม่ได้ตี่เล็กอย่างอาตี๋ทั่วไป หากแต่เรียวยาวคมปลาบ และนัยน์ตาดำสนิทดุจราตรีที่มืดมิด ริมฝีปากของเขาบางเฉียบเป็นสีชมพูระเรื่อจนผู้หญิงบางคนยังต้องอาย
โอ...เกิดอะไรขึ้นกับหัวใจที่ไม่เคยต้องหวั่นกับชายใด แต่พอแรกสบตากับชายหนุ่มร่างสูงสมาร์ตตรงหน้ากลับทำให้ใจม่ายสาวอย่างเธอต้องหวั่นไหวรุนแรง ใจเต้นรัวกระหน่ำเพียงแค่ได้สบตา นี่เธอมีอาการแบบนี้ได้อย่างไร... อาการที่ไม่เคยเกิดเมื่อสบตาหรือใกล้ชิดกับชายใด แม้แต่กับรัชชานนท์ชายหนุ่มที่เธอรักสุดหัวใจก็ตามที...และเธอจำได้ว่าเขาคือใคร?
