บทที่ 7 บทที่ 7.
“แหมคุณอัคคีภัยมีน้องๆ เยอะแยะแล้วอย่ามาขโมยน้องอ้อนของพี่เกดหน้าตาเฉยแบบนี้สิคะ” แม่เลี้ยงจีบปากจีบคอพูดอย่างรู้ทันด้วยสรรพนามที่สนิทสนม เพราะความที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแม่เลี้ยงจึงไม่สงวนท่าที
“โธ่ พี่เกด เรียกผมให้มันดูดีหน่อยก็ไม่ได้ ไม่ไว้หน้าผมบ้างเลย อยู่ต่อหน้าสาวสวยแท้ๆ ใจคอจะทำให้ผมขายหน้าใช่ไหมเนี่ย พี่อินดูที่รักพี่ทำกับผมสิครับ” ชายหนุ่มตัวโตที่กำลังทำท่าอ้อนผู้สูงวัยกว่าช่างดูน่าขันในสายตาหญิงสาวถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่และทันทีที่เรียวปากระเรื่อเปิดเปลือยเสียงหัวเราะกังวานใสอวดฟันขาวเรียงสวยราวไข่มุกงาม ดวงตาพราวยิ้มตรงหน้าช่างดูเซ็กซี่เย้ายวนโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ จนชายหนุ่มตะลึงมองจนแทบลืมหายใจกับความงดงามตรงหน้า
เมื่อหญิงสาวหันมาสบตาคมปลาบตรงหน้าก็รีบปิดปากสวยทันทีและหน้าแดงอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นชายหนุ่มมองมาด้วยสายตาแทบจะกลืนกินเธอเสียตรงนั้น สร้างความขัดเคืองให้เธอไม่น้อยแต่ด้วยความที่เป็นคนเก็บความรู้สึกเก่งจึงได้แต่นิ่งเงียบและยิ้มบางๆ ให้ชายหนุ่มอย่างไม่ถือสา แต่ปฏิกิริยาของอัคคีหาได้รอดพ้นดวงตาอันเฉียบคมและช่างสังเกตของแม่เลี้ยงเกศราไปได้
“พี่รู้นะว่าน้องคิดอะไรอยู่” เสียงนุ่มคุ้นหูกระซิบเบาๆ ทำให้เธอค้อนผู้เป็นสามีอย่างฉุนๆ นี่จะมีสักครั้งไหมนะที่เธอคิดอะไรแล้วพ่อเลี้ยงอินคำจะรู้ไม่ทันบ้าง แม่เลี้ยงแสร้งถอนใจเบาๆ
“แหมคุณพี่ละก็ ไม่สนใจแล้ว... ชวนน้องอ้อนไปนั่งฟังเพลงดีกว่า” ว่าแล้วแม่เลี้ยงเกศราก็จับจูงอโนมาไปอีกด้านของเรือนที่ตอนนี้นักดนตรีสาวสวยกำลังเล่นเพลงแว่วเสียงซึงขับกล่อมแขกผู้มาร่วมงานซึ่งแต่ละคนกำลังนิ่งฟังอย่างเคลิบเคลิ้มกับท่วงทำนองไพเราะอ่อนหวาน
“เพลงเพราะไหมคะน้องอ้อน นี่เป็นวงดนตรีล้านนาที่มีชื่อของเมืองเชียงใหม่เลยนะคะ ได้ไปเล่นโชว์ถึงต่างประเทศแน่ะ”
“ค่ะ เพราะมากเลย นี่ถ้าน้องอิ่มอุ่นกับแมงปอมาด้วยคงไปขอให้นักดนตรีสอนให้หรือไม่ก็ขอเล่นด้วยแน่ๆ เลยล่ะค่ะพี่เกด รายนั้นน่ะเขาชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ”
“จริงหรือจ๊ะ เหมือนตาสิงโตลูกชายพี่เกดเลยค่ะน้องอ้อน รายนั้นน่ะก็ชอบดนตรีเหมือนกัน ถ้าพรุ่งนี้น้องอ้อนไม่รีบกลับพี่เกดว่าจะพาไปรับตาสิงโตที่ค่าย แล้วว่าจะไปไหว้พระที่ดอยตุงกันด้วย” แม่เลี้ยงเกศราพูดถึงเด็กชาย สิงหราช อภิปัญญา ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างชื่นชม ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างถูกใจ
“ถ้างั้นเราก็ถือโอกาสไปเที่ยวบ้านน้องอ้อนเลยสิคะ พี่เองก็อยากไปเที่ยวเชียงรายพอดี ยิ่งตอนนี้อากาศกำลังดีเลย”
“จริงๆ แล้วอ้อนก็กำลังจะกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่เหมือนกันล่ะค่ะ”
“แหม งั้นดีเลยค่ะน้องอ้อน ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ พอไปรับตาสิงโตแล้วเราก็ไปบ้านน้องอ้อนกันเลยนะคะ” แม่เลี้ยงเกศรารีบรวบรัดอย่างไม่ให้ปฏิเสธได้
“เอ่อ...พี่เกดคะจะดีเหรอคะ คืออ้อนไม่อยากรบกวนน่ะค่ะ”
“แหม...รบกงรบกวนอะไรกันคะน้องอ้อน พี่น่ะอยากจะเป็นพันธมิตรกับน้องอ้อนอยู่แล้วล่ะค่ะ เผื่อว่าอนาคตน้องอ้อนจะไม่คิดสินสอดพี่แพงไงคะ” แม่เลี้ยงไม่วายหยอดมุกเด็ดไว้เผื่ออนาคตอย่างขำๆ
“คุยอะไรกันครับสองสาว ท่าทางสนุกกันเชียว... นี่ครับที่รักพั้นซ์สตรอเบอร์รี่ของโปรด” พ่อเลี้ยงอินคำยื่นแก้วเครื่องดื่มสีสวยให้ภรรยาพลางจูบแก้มนวลนั้นเบาๆ
“บ้า พี่อินนี่ไม่รู้จักอายน้องอ้อน ดูสิทำอะไรห่ามๆ ไม่ใช่หนุ่มๆ เหมือนอัคคีเขาแล้วนะคะ” แม่เลี้ยงตีแขนกำยำของพ่อเลี้ยงเบาๆ จะว่าไปแล้วพ่อเลี้ยงอินคำก็ไม่ได้แก่หรือดูน่าเกลียดเลยในวัยสี่สิบสอง แต่กลับดูสุขุมน่าเกรงขาม สง่างามด้วยรูปร่างสูงใหญ่ แต่ไม่ได้ดูเทอะทะอ้วนลงพุง เพราะหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ในขณะที่แม่เลี้ยงเกศราในวัยสามสิบเจ็ดปียังดูสวยสดใสเหมือนสาววัยสามสิบต้นๆ ด้วยรูปร่างที่อวบอิ่มสมส่วน ใบหน้าเรียวสวยดวงตาเป็นประกายสดใส ริมฝีปากงดงามนั้นแต่งแต้มรอยยิ้มอยู่เสมออย่างคนอารมณ์ดี
“แหม หวานไม่เกรงใจใครแบบนี้ ผมก็แย่สิครับ” อัคคีเอ่ยเย้าคนทั้งสองแต่สายตากลับเหลือบแลแต่ใบหน้าสวยหวานของคนที่ยืนหน้าแดงอยู่ไม่ห่าง
“แล้วน้องอ้อนล่ะครับดื่มอะไรดี เดี๋ยวพี่จะหยิบมาให้” อัคคีถามอย่างเอาใจ ริมฝีปากอิ่มสวยขบกันอย่างไม่มั่นใจในไมตรีที่หยิบยื่นให้ เพราะเธอเกรงว่าจะมีการแอบแฝงอะไรไว้ เหตุการ์เมื่อหกปีก่อนทำให้เธเอหวาดระแวงทุกครั้งที่มีใครสักคนมาถามว่าจะดื่มอะไรหรืออยากจะกินอะไร ยกเว้นคนที่เธอไว้ใจที่สุด
