บทที่ 9 บทที่ 9.
“แต่ก็เอาเถอะคะถ้าอ้อนเล่นผิดคีย์หรือไม่เพราะทุกคนก็ห้ามหัวเราะแล้วต้องชมว่าไพเราะเพราะที่สุดเท่านั้นนะคะ” เธอมิวายขอความเห็นใจแกมบังคับ ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มอย่างเอ็นดูจากผู้สูงวัยกว่าได้มากโขทีเดียว และแล้วเสียงเพลงลาวดวงเดือนในท่วงทำนองแผ่วหวานก็ดังขึ้น
อัคคีนิ่งฟังเสียงเพลงที่แผ่วพริ้ว อ่อนหวานบวกกับกิริยาท่วงท่าที่งดงามของหญิงสาวที่กำลังบรรเลงเพลงไทยเดิมที่เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กและเขาก็เคยคิดว่ามันก็เป็นเพลงแสนจะเชยและโบราณมาก แต่วันนี้เขากลับคิดว่ามันช่างไพเราะและมีมนต์ขลังอย่างประหลาดจนไม่สามารถละสายตาคมจากใบหน้าสวยหวานที่นั่งพับเพียบบรรเลงเพลงไทยเดิมอยู่ตรงหน้า
เมื่อเพลงบรรเลงจบเสียงปรบมือก็ดังขึ้นด้วยความชื่นชม หญิงสาวผู้เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของงานพนมมือไหว้ขอบคุณทุกคนอย่างงดงามสร้างความปลาบปลื้มชื่นชมแด่แม่เลี้ยง พ่อเลี้ยงแห่งคุ้มอินจำปายิ่งนัก
“อัคคี นายอัคคีภัย นี่เพลงจบแล้วยืนบื้ออยู่ได้” แม่เลี้ยงเกศราใช้ข้อศอกกระทุ้งสีข้างของอัคคีเบาๆ ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งนิดๆ แล้วรีบกะพริบตากลบเกลื่อนพิรุธ
“ครับก็เพราะดีนะครับ” ชายหนุ่มกระแอมในลำคอเล็กน้อยแก้เก้อ
“ก็แหงล่ะ น้องอ้อนของพี่ทำอะไรก็ดี ก็เด่นเข้าตาหนุ่มๆ เสมอแหละ ดูสิสงสัยหนุ่มๆ แถวนี้เป็นแฟนคลับของน้องอ้อนกันหมดแล้ว” พ่อเลี้ยงบุ้ยใบ้ไปทางด้านอโนมาซึ่งได้รับความสนใจจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ล้อมหน้าล้อมหลังแย่งกันพูดคุยกับสาวสวยของงานในค่ำคืนนี้เพื่อจะได้มีโอกาสสานต่อความสัมพันธ์ในอนาคต แต่ภาพนั้นกลับทำให้อัคคีร้อนรุ่มนัยน์ตาร้อนผ่าวด้วยความขัดเคืองทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกแบบนั้นแต่อาการที่คันยุบยิบเจ็บจี๊ดๆ ในหัวใจโดยไม่รู้สาเหตุแค่ได้เห็นชายคนอื่นอยู่ใกล้หรือพูดคุยกับเธอ
“ก็เป็นธรรมดาแหละครับเขาสวยก็ไม่แปลกที่มีคนสนใจเขา” ชายหนุ่มพยายามซ่อนความขัดเคืองจากน้ำเสียงแต่ก็ไม่มิดเท่าที่ควร
“อ้อ ยอมรับว่าเขาสวย แล้วสนใจมั้ยล่ะ” พ่อเลี้ยงอินคำแกล้งถาม
“สนสิครับ เฮ้ย! พี่หลอกถามผมเหรอนี่ ร้ายกาจมากเลย” กว่าจะรู้ตัวว่าเผยความในใจออกมาโจ่งแจ้งเขาก็เสียรู้สองสามีภรรยาตัวร้ายซะแล้ว “นี่รวมหัวกันแกล้งผมนี่” ชายหนุ่มโอดครวญ
“ก็แหงละ ผู้ร้ายปากแข็งอย่างนายมันก็ต้องทำแบบนี้ล่ะ ว่าไงสนใจเขาใช่มั้ยล่ะ แต่คงยากเพราะน้องอ้อนเขาค่อนข้างไว้ตัวโดยเฉพาะกับผู้ชายเจ้าชู้และไร้หัวใจ”
“ก็ไหนว่าเขาเป็นม่าย” ชายหนุ่มถามอย่างหยิ่งๆ น่าหมั่นไส้
“เป็นม่ายแล้วยังไง ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะง่ายกับทุกคนนี่” คราวนี้พ่อเลี้ยงเป็นคนออกหน้าแทน
“ผมก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เขาเอ่ยเกรงๆ เมื่อเห็นว่าแววตาของสองสามีภรรยาเริ่มมีแวววิบๆ ขุ่นขวาง
“ก็ผมเคยเจอแต่พวกแม่ม่ายที่แรงสูงช่ำชองไวไฟนี่นะไอ้ประเภทที่ไว้ตัวสงวนท่าทีก็เห็นแค่แรกๆ พอได้ลองมีอะไรกับใครเข้าหน่อยก็ดีแตกกันทั้งนั้นแหละ โว้วๆ นี่ผมพูดเหมารวมนะพี่ไม่ได้ว่าน้องสาวคนสวยของพี่เลยนะ” ชายหนุ่มรีบยกมือทำท่าห้ามเมื่อเห็นทีท่าเอาเรื่องของแม่เลี้ยงเกศราที่กำลังเงื้อมือจะฟาดมาที่แขนแกร่งของเขาแต่ก็หาพ้นไม่เพราะฝ่ามือน้อยๆ นั่นหากแต่ทรงพลังก็ฟาดลงมาเต็มๆ สองสามที
“นี่แน่ะๆ ปากดีนักไอ้คนปากมอม แล้วอย่ามาจีบน้องอ้อนเขาเชียว” แม่เลี้ยงกล่าวเคืองๆ “นอกจากจะไม่ให้จีบไม่ให้เข้าใกล้แล้วนะ ฉันนี่แหละจะเป็นก้างขวางคออย่างดีเลยคอยดู” คาดโทษคนต้นเรื่องเสร็จก็เดินสะบัดหน้าไปหาเป้าหมายที่ทำท่าอยากออกมาจากวงล้อมหนุ่มๆ เต็มทีของอโนมา
“เอาล่ะค่ะหนุ่มๆ ทั้งหลาย แม่เลี้ยงขอตัวน้องอ้อนไปด้านโน้นก่อนนะคะ ถ้าสนใจยังไงเดี๋ยวยื่นใบสมัครที่แม่เลี้ยงได้นะคะ คิดแค่ใบละแสนเดียวเองค่ะ” แม่เลี้ยงเกศรากล่าวอย่างอารมณ์ดีแล้วพาร่างระหงออกมาจากวงล้อมหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่อย่างสุภาพ แต่กระนั้นก็ทำให้หนุ่มๆ มองตามตาปรอยเลยทีเดียว
