บทที่ 5 ความซวยของสาวเชยจอมอัจฉริยะ (50%)
สมัยที่เขาเพิ่งเข้ารับราชการเป็นตำรวจในสังกัดกองปราบใหม่ๆ ก็มีเหตุให้ได้รู้จักกับพ่อของมาร์เวล เพราะนายมาร์แชลผู้ซึ่งตอนนั้นต้องการออกจากวงการธุรกิจมืด ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฏหมายอีกเด็ดขาด แต่ก็ยังไม่วายโดนแก๊งมาเฟียคู่อริกลั่นแกล้ง ทั้งเข้าไปก่อกวนที่คาสิโน ทั้งใส่ร้ายป้ายสี
มาร์แชลพยายามจะหาหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำชั่วของพวกมันมาส่งมอบให้ตำรวจ ซึ่งฝ่ายนั้นก็แค้นใจเป็นอย่างมาก จึงสั่งลูกน้องให้ตามเก็บมาร์แชล มาเฟียผู้ยิ่งใหญ่จึงต้องหนีจากการปองร้ายของคู่อริมาขอลี้ภัยที่บ้านพี่ชายของภาคินัย และพี่เขาก็ขอให้เขาคุ้มครองมาร์แชล ไปพร้อมกับช่วยสืบเรื่องราวทั้งหมด และหาหลักฐานมามัดตัวคนผิดให้ได้ จากความช่วยเหลือในครั้งนั้นก่อเกิดเป็นมิตรภาพ ทำให้มาร์แชลสนิทกับทั้งเขาและพี่ชายของเขาพอสมควร
“ครับสบายดีครับ ท่านยังฝากความคิดถึงมาให้พี่ชายคุณด้วยนะครับ” มาร์เวลบอกในสิ่งที่บิดาฝากฝังมาหลังจากที่เขาโทรไปเล่าให้ท่านฟังว่าจะมาไทย
“เดี๋ยวผมจะบอกพี่ชายให้ก็แล้วกัน นี่ก็เที่ยงแล้ว หากคุณไม่มีธุระต่อที่ไหน ผมขอเลี้ยงข้าวสักมื้อ ถือว่าเป็นการตอบแทนสำหรับข้อมูลดีๆ ที่คุณอุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเลเอามาให้กับมือ” สารวัตรภาคินัยชักชวนให้มาร์เวลไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน เพราะเขายังมีเรื่องอีกมากมายที่อยากจะคุยกับมาเฟียหนุ่ม
“ผมไม่มีธุระต่อที่ไหนพอดี” น้อมรับไมตรีจิตด้วยความเต็มใจ
“งั้นเชิญครับ ไปทานข้าวเที่ยงกัน” สารวัตรภาคินัยเก็บของอีกนิดหน่อย ก่อนจะผายมือเชิญมาร์เวลให้เดินออกจากห้องทำงานของตน
“จ่าสมหมาย วันนี้ผมไม่เข้ามาแล้วนะ หากมีอะไรด่วนก็โทรเข้ามือถือผมก็แล้วกัน” เสียงเข้มกล่าวกับผู้ใต้บังคับบัญชา เขาตั้งใจจะเลี้ยงข้าวมาร์เวล หลังจากนั้นก็จะออกไปสืบคดีที่กำลังทำอยู่ ช่วงนี้มีอาชญากรชุกชุม มีคดีใหม่ผุดขึ้นราวดอกเห็ดทำให้เขาไมค่อยได้อยู่ที่สน.เท่าที่ควร
“รับทราบครับสารวัตร” จ่าสมหมายทำการเคารพผู้บังคับบัญชาด้วยท่าทางขึงขัง ตามแบบฉบับตำรวจที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
จากแค่คิดที่จะมาเพียงส่งข่าวให้สารวัตรภาคินัย มาร์เวลกลับเปลี่ยนใจขอเข้าร่วมกระบวนการในการจับกุมยาเสพติดล็อตใหญ่ในครั้งนี้ เขาจึงต้องพักอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งมาร์เวลก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร หากมันจะทำให้เขากำจัดสิ่งที่มาคอยรังควานจิตใจให้สิ้นซาก ปัญหาที่คาราคาซังระหว่างเขากับไอ้พวกเศษสวะจะได้มลายหายไปสักที ดังนั้นมาร์เวลจึงโทรไปสั่งงานลูกน้อง แล้วเข้าพักในโรงแรมเล็กๆ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของทั้งนักข่าวที่ต่างก็กระเหี้ยนกระหือรืออยากได้ข่าวของเขาและศัตรูคู่อาฆาตอย่างไอ้สตีฟ
ห้องซ้อมดาบ บ้านเอโดะ แดนอาทิตย์อุทัย
ขณะนี้นายมาซาโตะ เอโดะ หัวหน้าแก๊งเอโดะ ผู้อยู่ในชุดซามูไรกำลังกวัดแกว่งดาบซามูไรรุกไล่คู่ต่อสู้อย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว ท่วงท่าและลีลาการต่อสู้บ่งบอกได้ดีว่าอายุและพุงพลุ้ยไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการออกอาวุธในครั้งนี้ ห้องซ้อมดาบซามูไรแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ประมุขเฒ่าแห่งแก๊งยากูซ่าชื่อกระฉ่อนและทรงอิธิพลที่สุดในญี่ปุ่น ใช้เป็นที่ออกกำลังกายเรียกเหงื่อและแก้เครียด เพราะเขาคลั่งไคล้กีฬาที่เป็นดั่งศิลปะการต่อสู้อันเก่าแก่ของชนชาติญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
แอ๊ด!!!
เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้น ไม่ทำให้คู่ต่อสู้หยุดการงัดกลยุทธออกมาฟาดฟันกันได้ ผู้มีอาวุธในมือทั้งสองยังคงรุก รับและไล่กันอย่างต่อเนื่อง จนเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เมื่อเสือเฒ่าเรียกเหงื่อได้เป็นที่พอใจ เขาจึงโบกมือส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายยุติเกมการต่อสู้ลง เจ้าของร่างท้วม หน้าเหลี่ยม ของชายวัยห้าสิบหกปี เอาดาบไปวางใว้ตรงชั้นเก็บรวมกับดาบเก่าแก่และหายากอีกนับสิบเล่ม ก่อนจะหันมารับผ้าขนหนูผืนเล็กจากลูกน้องไปซับเหงื่อตามใบหน้าและลำคอ
“ได้เรื่องแล้วหรือยัง?” ใบหน้าที่ดูผ่อนคลายจากการออกกำลังกายเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นเครียดเขม็ง ก่อนที่จะเอ่ยถามลูกน้องถึงยาเสพติดมูลค่ามหาศาลที่เขาลำเลียงจากฝรั่งเศสมายังไทย แต่พลาดท่าเสียทีโดนตำรวจรู้ระแคะระคาย กระนั้นเขายังให้ลูกน้องเฝ้าสืบหาตลอดช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เพราะเชื่อว่ายังไงตำรวจก็ยังไม่ได้ไป แต่โชคก็เหมือนจะไม่เข้าข้างคนเลวอย่างตาเฒ่าเสมอไป เมื่อสิ่งที่เขาหวังไว้กลับไม่เป็นอย่างที่คิด
“สายของเราที่อยู่ในคุก บอกว่ายาอยู่ในมือตำรวจแล้วครับนายท่าน” ฮิเดกิผู้เป็นทั้งมือขวาและเลขาตอบเจ้านายเสียงเรียบ
“ระยำเอ๊ย…แล้วมันไปอยู่ในมือตำรวจได้ยังไงวะ” สบถลั่นด้วยความคั่งแค้น คำตอบของลูกน้องคนสนิท ทำให้มาซาโตะถึงกับทำหน้าถมึงทึงดวงตาวาวโรจน์
“คนของเราไปช้ากว่าตำรวจครับนายท่าน” คนที่เขาพูดถึงก็คือตำรวจที่เป็นพรรคพวกของแก๊งในไทย วันนั้นตำรวจนอกเครื่องแบบซึ่งเป็นคนละหน่วยกับคนของแก๊งเข้าไปบุกที่พักยา ก่อนที่ตำรวจที่เป็นคนของพวกเขาจะไปถึง ทำให้ของไปตกอยู่ในมือตำรวจในที่สุด
“ติดต่อไปที่ตำรวจเจ้าของคดี เสนอเงินให้มัน เราต้องนำของมาส่งให้ลูกค้าตามกำหนดให้ได้” มาซาโตะสั่งลูกน้องให้ทำตามวิธีที่ตนทำทุกครั้งเมื่อเกิดปัญหากับตำรวจ
“เห็นทีคราวนี้มันจะไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิครับนายท่าน” ฮิเดกิทำหน้าลำบากใจเมื่อได้ฟังคำสั่งของนาย หากเป็นครั้งก่อนๆ เขาคงน้อมรับและรีบทำตามคำสั่งอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แต่ครั้งนี้เจอตอเข้าเต็มๆ
“แล้วมันยังมีอะไรอีกวะไอ้ฮิเดกิ” มาซาโตะถามอย่างหัวเสีย แสนจะสงสัยว่าจะยังมีอะไรมาขวางทางเขาอีกในเมื่ออำนาจของเงินมันอยู่เหนือทุกอย่างแม้กระทั่งความยุติธรรม สำหรับเขาแล้วเงินสามารถซื้อได้ทุกอย่างถ้ามันมากพอมันก็สามารถยั่วน้ำลายให้คนมีความโลภเป็นทุนเดิมเกิดกิเลศได้
“เจ้าของคดีนี้คือสารวัตรภาคินัย อัศวโพคิน ครับ” กลืนน้ำลายลงคอก่อนจะตอบนายเสียงเรียบ จากนั้นก็กลั้นใจรอฟังเสียงสบถที่จะตามมาในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า แล้วมันก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด
“ห่าเอ๊ย…มันอีกแล้วเหรอวะ ไอ้เวรตะไลนี่มันจะตามจองล้างจองผลาญกูไปถึงไหนกัน” มาซาโตะแผดเสียงสบถลั่น ด้วยความขุ่นแค้นให้นายตำรวจคู่อริของตนที่ลูกน้องกล่าวถึง ทุกครั้งที่งานของเขามีปัญหา มันจะต้องเกิดจากฝีมือของภาคินัยอยู่ร่ำไป
“แล้วนายท่านจะให้ผมทำยังไงต่อไปครับ” เมื่อเห็นนายเอ็ดตะโรก็ชักไม่แน่ใจว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง เพราะดูจากรูปการณ์เรื่องมันคงจะไม่ง่ายอย่างที่แล้วมา
