บทที่ 9 ปากว่าไม่แต่ใจแอบคิดถึง (70%)
รถโฟร์วีลสมรรถนะสูงของสารวัตรภาคินัยมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา เขาต้องไปดูพื้นที่คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว เพื่อจำลองภาพเหตุการณ์ว่าเป็นไปตามที่จำเลยได้ให้การไว้หรือไม่ ขับรถออกมาจนเกือบจะถึงที่หมายก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล จากสัญชาตญาณของตำรวจมือดีทำให้เขารู้ได้ทันทีว่ามีคนสะกดรอยตามตนมา และยิ่งแน่ใจมากขึ้นเมื่อชะลอให้แซงแต่รถคันดังกล่าวกลับไม่แซง มือหนาหยิบปืนออกจากเอวเพรียวมากำไว้แน่น ทันใดนั้นรถคันข้างหลังก็เหยียบคันเร่งขึ้นมาตีคู่ ก่อนจะมีเสียงปืนรัวกระหน่ำใส่รถเขาไม่ยั้ง
ปังๆๆๆๆ…
สารวัตรภาคินัยยกปืนขึ้นยิงตอบโต้คู่ต่อสู้เช่นกัน เสียงปืนยังดังสนั่นไปตามความยาวของถนนอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่บริเวณนี้ไม่ใช่เขตชุมชน เพราะไม่งั้นคงจะมีประชาชนตาดำๆ ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต้องพลอยได้รับความเดือดร้อนจากน้ำมือคนชั่วพวกนี้เป็นแน่ หรือคิดอีกทีก็อาจจะเป็นโชคดีของเขา หากเป็นเขตชุมชนเขาก็คงจะเร่งความเร็วแบบนี้ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นเป้านิ่ง ง่ายต่อการสังหารของพวกคนเลว
ภาคินัยจำได้ดีว่าหนึ่งในสามของคนร้ายที่อยู่ในรถคือคนที่มาเจรจาต่อรองกับตนเมื่อเช้านี้ พอตาคมกริบชำเลืองกลับไปมองยังถนนเบื้องหน้าอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าอีกหนึ่งร้อยเมตรจะเป็นทางโค้ง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจขับรถของตนเข้าเบียดรถของคนร้าย ส่งแรงเหวี่ยงให้รถคันนั้นเสียการควบคุม ส่วนรถของเขาก็หักหลบมาอีกทางและชะลอความเร็วลง เมื่อเห็นว่าข้างหน้าตนคือทางโค้ง แต่ดันไม่สามารถเหยียบเบรคชะลอความเร็วเพื่อจะเข้าโค้งได้ทัน ชายทั้งสามก็เบิกตาโพลง ใบหน้าที่เคยดุดันแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดไร้สีเลือดฉับพลัน
เอี๊ยด!!!
โครม!!!
เสียงเหยีบเบรคดังสนั่นหวั่นไหว แต่ถึงจะเบรคจนตัวโก่งอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งอะไรได้ในวินาทีนั้น รถของผู้ร้ายทั้งสามแหกโค้ง เสียหลักตกลงไปข้างทาง ที่บริเวณนั้นมีลักษณะเป็นความลาดชันเหมือนกับหน้าผาลูกย่อมๆ พอดี จากนั้นไม่นานก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น ก่อนจะมีควันผสมกับเปลวไฟลอยโขมงขึ้นมา
“คนอย่างพวกแกพบจุดจบแบบนี้ก็ดีแล้ว แผ่นดินไทยจะได้สูงขึ้น” พึมพำอยู่คนเดียว
สารวัตรภาคินัยลงมายืนมองรถของคนร้ายด้วยแววตาเฉยชาไร้อารมณ์ จนเวลาผ่านไปสักระยะเขาถึงต่อสายประสานไปยังหน่วยกู้ภัยให้มาดูที่เกิดเหตุ จากนั้นก็ก้าวขาขึ้นรถที่จอดขวางทางการจราจรอยู่ หักพวงมาลัยกลับเข้าสู่วิถีของท้องถนน มุ่งตรงไปยังจุดหมายที่ตนได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนแรก
บ้านอัศวโพคิน ย่านสาทร
ไม่น่าเชื่อว่าในย่านที่ที่ดินแพงหูฉี่ขนาดนี้จะยังมีบ้านไทยทรงโบราณแฝงตัวอยู่ ท่ามกลางบ้านเศรษฐีในละแวกเดียวกัน บ้านอัศวโพคินถูกสร้างขึ้นตามแบบบ้านโบราณในยุคล้านนาตอนต้นซึ่งทำจากไม้พะยูงทั้งหลัง ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่กว่าสามไร่ มองดูเผินๆ คล้ายกับหมู่บ้านล้านนาขนาดย่อม เพราะทุกอย่างดูสวยงามและคงเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมเก่าแก่สไตล์ล้านนาดั้งเดิม ภายในอาณาบริเวณดูกว้างขวาง ร่มรื่นน่าอยู่ และอบอวลไปด้วยมวลดอกไม้นานาพันธุ์ การวางผังของบ้านก็เป็นสัดเป็นส่วนชัดเจน
เนื่องจากตระกูลอัศวโพคินเป็นตระกูลผู้ดีเก่า บรรพบุรุษหลายต่อหลายชั่วอายุคนเข้ารับราชการในราชสำนัก เป็นขุนนางชั้นสูงก็หลายคน แต่เส้นทางสายข้าราชการของตระกูลอัศวโพคินก็มีอันต้องสิ้นสุดลงที่รุ่นปู่ของมณีญา เนื่องจากคุณปู่ของเธอ นายภาคภูมิ อัศวโพคิน ได้มีโอกาสไปศึกษาและใช้ชีวิตในอังกฤษ ทำให้โลกทัศน์ของท่านดูจะกว้างขวางกว่าพี่น้องคนอื่นๆ กลายเป็นคนหัวสมัยใหม่ ไม่คิดจะยึดติดกับหน้าที่การงานอันมั่นคงเช่นอาชีพข้าราชการ
นายภาคภูมิมีความสนใจเกี่ยวกับการทำเครื่องหนัง จึงพยายามศึกษาหาความรู้ เมื่อสำเร็จการศึกษาด้านการดีไซน์และพัฒนาผลิตภัณฑ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของอังกฤษ เขาก็กลับมาเปิดกิจการทำเครื่องหนังเล็กๆ เป็นของตัวเองโดยแรกเริ่มเดิมทีจะทำกระเป๋าหนังจระเข้และหนังปลากระเบนจำหน่าย
จากความสามารถในเรื่องของการดีไซน์ ประกอบกับการขวนขวายเรียนรู้ของนายภาคภูมิ ทำให้ทุกอย่างไปได้สวย จากกิจการเล็กๆ ก็ขยายออกไปเรื่อยๆ สินค้าภายใต้ชื่อที่นายภาคภูมิสร้างสรรค์ขึ้น เป็นที่รู้จักในแวดวงของผู้ที่ชื่นชอบเครื่องหนัง หลังจากนั้นเพียงสามปี เขาก็เปิดบริษัทเป็นของตัวเอง มีโรงงานตัดเย็บในเครือมากมาย มีพนักงานในปกครองหลายพันชีวิต สินค้าส่วนใหญ่ที่ผลิตออกมาจะถูกนำไปวางขายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำในแถบยุโรปและอเมริกาแทบทั้งสิน
เมื่อปู่ของเธอแก่ชราจนคิดว่าตัวเองจะไม่สามารถดูแลกิจการต่อไปได้ ท่านก็เรียกตัวภาฤทธิ์ อัศวโพคิน บิดาของเธอที่ทำไร่อยู่ในจังหวัดนครราชสีมากับมารดาของเธอกลับไปสานต่อกิจการ สอนให้เรียนรู้งานทุกอย่างจากท่าน จนเมื่อท่านจากไปอย่างสงบ บิดาของเธอก็ได้ขึ้นนั่งแท่นผู้บริหารแทนปู่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ถึงแม้จะเป็นมือใหม่ภาฤทธิ์ก็ไม่ทำให้ทุกคนในตระกูลอัศวโพคินผิดหวัง แถมยังทำมันได้ดีแทบไม่มีที่ติ เหตุก็เพราะว่าได้ทั้งกำลังใจและความช่วยเหลือจากมารดาของเธอ ซึ่งอดีตเคยเป็นลูกสาวเจ้าของกิจการทำเครื่องหนังเล็กๆ จากความรู้ที่นางวาสนาได้รับการถ่ายทอดมาจากบุพการีทำให้เอื้อต่องานของสามีได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ความรักมักมีอุปสรรค์ ทำให้แม่กับพ่อของเธอต้องหย่าขาดจากกัน แม่จากไปทั้งที่เธอยังอยู่ในครรภ์
ด้วยเหตุนี้มณีญาจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับประเทศไทยเลย รู้เพียงจากการบอกเล่าของแม่ว่าพ่อพบรักกับแม่ตอนเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง สาวน้อยนัยน์ตาหวานซึ้งนามว่าวาสนา การะเกด สามารถทำให้หนุ่มเพลย์บอยผู้มากรักอย่างภาฤทธิ์ อัศวโพคิน ต้องยอมสยบอยู่แทบเท้า หลังจากที่ทั้งสองคบหาดูใจกันเป็นเวลากว่าสองปี ก็ตัดสินใจแต่งงานและใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน โดยพร้อมใจย้ายมาทำไร่ในแถบเขาใหญ่ เพราะต่างก็ไม่ชอบความวุ่นวายในเมืองเหมือนๆ กัน
ปัจจุบันมณีญาย้ายจากเกาหลีมาอยู่ที่ประเทศไทยเป็นการถาวรได้ห้าปีแล้ว หลังจากรู้ความจริงว่าตนไม่ใช่เลือดผสมแต่เป็นไทยแท้ ซึ่งความเข้าใจผิดเป็นเหตุให้พ่อกับแม่ต้องพลัดพรากจากกัน แม่หอบเธอหนีไปอาศัยอยู่ที่เกาหลีกับพ่อบุญธรรมนานกว่ายี่สิบปี หลังจากพ่อบุญธรรมจากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อห้าปีก่อน พ่อของเธอก็ออกตามหาแม่จนเจอ หลังจากนั้นก็พยายามงอนง้อขอคืนดี จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ และตอนนี้พวกท่านทั้งสองก็เข้าใจกันดี กลับมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จดทะเบียนสมรสใหม่อีกครั้ง ทำให้เธอต้องเปลี่ยนมาใช้นามสกุลอัศวโพคินตามพ่อแท้ๆ จวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
