บทที่ 2 1
ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย...
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมา นอกจากชาวต่างชาติที่กำลังเดินทางเข้าออกประเทศไทยเพื่อท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ แล้ว ยังมีชายหนุ่มชาวไทยรูปร่างสูงโปร่งผิวขาวดูมีออราที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนเสื้อขึ้นจนถึงข้อศอก สวมทับด้วยเสื้อแจ็กเกตแขนยาวกับกางเกงสแล็กส์สีดำเข้าชุด เดินปะปนมากับผู้คนเหล่านั้นด้วย
นัยน์ตาคมกริบของชายหนุ่มถูกบดบังด้วยแว่นตากันแดดสีดำราคาแพง แต่ไม่ได้ช่วยอำพรางความหล่อเหลาของเขาได้แม้แต่น้อย ทว่าใบหน้าหล่อเหลากลับดูเงียบขรึมราวกับว่าเขานั้นมีเรื่องหนักใจให้ขบคิดระหว่างทางที่เดินออกมาจากประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ ความสูงโปร่ง หล่อเหลาและดูดีของชายหนุ่มเป็นที่สนใจของผู้คนอยู่ไม่น้อย ใคร ๆ ต่างมองตามด้วยความสนอกสนใจว่าชายหนุ่มรูปงามคนนี้คือใครกัน
แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจผู้คนเหล่านั้นเลย ตั้งหน้าลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สีดำพร้อมกับซุกมืออีกข้างลงในกระเป๋ากางเกง เดินตรงไปยังจุดบริการแท็กซี่ของทางสนามบินเพื่อเดินทางไปยังบ้านหลังใหญ่ที่แสนอบอุ่นของเขา ซึ่งชายหนุ่มตั้งใจที่จะกลับมาเซอร์ไพรซ์ไม่ยอมบอกใครแม้แต่คนเดียว
“ให้ขับเข้าไปจอดหน้าประตูรั้วเลยไหมครับ” คนขับรถแท็กซี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“เข้าไปเลยครับ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มของผู้โดยสารหนุ่มตอบกลับคนขับรถแท็กซี่ ก่อนที่รถจะแล่นเข้ามาจอดที่ประตูรั้วหน้าบ้านหลังใหญ่ในเวลาต่อมา
“ค่ารถเท่าไรครับ” เขาถามราคาเมื่อรถจอดเทียบประตูรั้วหน้าบ้านหลังใหญ่เป็นที่เรียบร้อย
“ทั้งหมดสองพันสามร้อยบาทครับ”
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็หยิบกระเป๋าสตางค์คู่ใจออกมาควักธนบัตรสีเทาจำนวนสามใบให้กับคนขับรถแท็กซี่ โดยไม่ลืมทิ้งท้ายว่าไม่ต้องทอนก่อนจะลงจากรถ
คนขับรถก็บริการดีจนนาทีสุดท้าย ลงจากรถเดินอ้อมไปยังด้านหลัง หอบเอากระเป๋าใบใหญ่ของผู้โดยสารลงมาวางหน้าประตูรั้วให้เสร็จสรรพ
ชายหนุ่มยืนมองบ้านหลังใหญ่ผ่านแว่นตากันแดดสีดำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูรั้วเล็กเดินไปตามทางเดินเข้าสู่ตัวบ้าน ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ภายในห้องนั่งเล่นดังขึ้นเมื่อชายหนุ่มเข้ามาถึงประตูบ้านหลังใหญ่ แม่บ้านเก่าแก่ที่ทำงานมานานเดินมาเห็นชายหนุ่มเข้าพอดี นางกำลังจะอ้าปากร้องทักแต่ผู้ที่เข้ามาใหม่ส่งสัญญาณให้นางเงียบเสียงก่อน นางจึงเงียบเสียงลงทันทีพร้อมกับส่งยิ้มบาง ๆ ให้ชายหนุ่มด้วยความดีอกดีใจแทน
“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ เป็นห่วงไอ้คนที่อยู่ทางโน้นดีกว่า” เสียงพูดติดตลกที่คุยอยู่กับผู้เป็นมารดาดังขึ้น
“ไอ้คนทางโน้นที่ว่ามาเนี่ย มันหมายถึงกูใช่ไหม”
คนทางโน้นที่ถูกเอ่ยถึงพูดแทรกบทสนทนาของพี่ชายพร้อมกับถอดแว่นตากันแดดสีดำออกจากใบหน้า สมาชิกในบ้านที่นั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติเมื่อครู่นี้หันหน้าไปทางต้นเสียงด้วยความตกใจพร้อมเพรียงกัน
ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วเช่นนี้!
“ตาสอง!” ผู้เป็นแม่จ้องหน้าบุตรชายคนเล็กที่ไปควบคุมดูแลงานรวมทั้งศึกษาด้านการตลาดเพิ่มเติมที่ต่างประเทศสามปีไม่กลับบ้านด้วยอาการตกตะลึง แล้วลุกขึ้นมาสวมกอดบุตรชายคนเล็กที่สูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรด้วยความคิดถึง
“สวัสดีครับคุณแม่ คุณพ่อ พี่หนึ่ง คุณมายด์” เขาทักทายผู้เป็นบิดามารดา พี่ชายและพี่สะใภ้ที่กำลังร่วมพูดคุยกันอยู่ภายในห้องนั่งเล่นอย่างครื้นเครง
สอง รณพีร์ อนันต์พิทากานต์ รองประธานบริหารหนุ่มหล่อไฟแรงในวัยสามสิบเจ็ดปี เป็นบุตรชายคนเล็กของคุณอนันต์กับคุณนายสรวงสุดา อนันต์พิทากานต์ ชายหนุ่มเป็นที่หมายปองของสาวน้อยสาวใหญ่มากมาย ครอบครัวของเขารวยเป็นอันดับต้น ๆ ด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมและรีสอร์ตทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ชายหนุ่มเดินทางไปควบคุมดูแลโรงแรมในเครือที่มีปัญหาที่ต่างประเทศเมื่อสองปีก่อน แต่เพราะเหตุใดเขาถึงขออยู่ดูแลงานที่นั่นต่ออีกหนึ่งปี เหตุผลนั้นไม่มีใครรู้นอกจากตัวของเขาเองที่เก็บเอาไว้ภายในใจและภายใต้ใบหน้านิ่งขรึมดูเข้าถึงยาก
“เจ้าสอง! กลับมาทำไมไม่บอก พ่อจะได้ให้คนขับรถไปรับที่สนามบิน” คุณอนันต์เอ่ยถามแกมตำหนิบุตรชายคนเล็กในคราวเดียวกัน
“ถ้าบอกว่าจะกลับวันนี้...ผมคงไม่ได้ยินอะไรดี ๆ แบบเมื่อกี้เหรอครับคุณพ่อ” ชายหนุ่มพูดแซวพลางยิ้มน้อย ๆ
“แปลกตรงไหน อายุแกก็มากแล้ว…รีบแต่งงานสักทีเถอะ” คุณนายสรวงสุดาบอกอย่างประชดประชันบุตรชาย “ดูอย่างพี่หนึ่งพี่ชายแกสิ…ตอนนี้เขาแต่งงานมีเมียมีหลานให้ฉันอุ้มแล้ว ฉันรออุ้มลูกแกอยู่นะตาสอง...ไม่งั้นฉันไม่ยอมตาย”
“ก็ผมยังไม่พร้อมนี่ครับแม่ แม่ก็เลี้ยงลูกของไอ้หนึ่งไปก่อนแล้วกัน” รณพีร์ตอบกลับใบหน้านิ่งขรึมน้ำเสียงเรียบเฉย ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาราคาแพงเบา ๆ
“เลี้ยงอยู่แล้วหลานฉันทั้งคน แต่ฉันอยากเลี้ยงลูกแกด้วย”
“แล้วหลานสาวของผมไปไหนเสียแล้วล่ะครับ” รณพีร์ถามเปลี่ยนเรื่องพลางสอดส่ายสายตามองหาหลานสาวตัวน้อย
“นอนกลางวันอยู่บนห้องน่ะค่ะ” มธุรินตอบกลับน้องชายของสามี
