บทที่ 2 1

คุณเพ็ญนภายังนั่งคุยเล่นอยู่กับลูกปลาไม่ยอมกลับ ทั้งลูกทั้งสามีโทรตามนอกจากจะไม่รับสายยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับอีก

"รับโทรศัพท์สิ ปล่อยมันดังอยู่นั้นแหละ"

คุณฟ้าทักเพื่อนสนิทให้รีบกดรับสาย เพราะไม่อย่างนั้นก็จะรำคาญอยู่แบบนี้ คุณเพ็ญนภากเปิดเครื่องไปเลยก่อนจะหันมายิ้มให้ลูกปลาที่กำลังนั่งชงชาให้อยู่

"ชาร้อนค่ะ"

"ขอบใจจ๊ะลูก หนูจะเลิกงานหรือยังฉันอยากชวนไปทานข้าวนะ"

"จะดีเหรอคะ... คือลูกปลาเกรงใจ แหะๆ"

"เกรงใจอะไรกันเราก็รู้จักกันมานานแล้ว นับครั้งแทบได้เลย นะๆไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย"

ลูกปลาเงยหน้ามองคุณฟ้าเป็นเชิงขอความเห็น ท่านพยักหน้ายิ้มกว้างก่อนจะลูบผมเธออย่างเอ็นดู

"ไปเถอะจ๊ะ สงสารคนแก่หน่อยน้อยใจลูกผัวไม่ยอมกลับ ทางนี้ให้พนักงานคนอื่นทำงานไปหนูไปเที่ยวเถอะ"

คุณหญิงเพ็ญนภาจิปากอย่างขัดใจที่ถูกเพื่อนว่าเป็นคนแก่ เธอก็แค่น้อยใจคนในบ้านที่ไม่ยอมทำตามความต้องการของเธอบ้างก็เท่านั้น

"ไปนะจ๊ะ"

"ค่ะ งั้นหนูไปเก็บของก่อนนะคะ"

"จ๊ะ"

ลูกปลาลุกขึ้นไปถอดผ้าเอี้ยมออกก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองที่ล็อคเกอร์แล้วเดินออกมาหาคุณหญิงที่ยืนรอเธออยู่ตรงประตู

"มาแล้วค่ะ"

"ไปกันเถอะวันนี้ไปเที่ยวกับฉันก่อน เดี๋ยวจะพากลับไปส่งอย่างปลอดภัย"

"ค่ะคุณท่าน"

ลูกปลาจับมือท่านแล้วพาเดินไปด้วยกัน ทั้งสองคนไปขึ้นรถก่อนจะไปที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่เป็นของตระกูลอภิสิริกุล

"หนูอยากได้อะไรมั้ยฉันซื้อให้"

ลูกปลารีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที เธอไม่อยากที่จะขออะไรจากใครทั้งนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ร่ำรวยอะไรแต่ก็ไม่เคยคิดจะเกาะใครกิน

"หนูไม่อยากได้อะไรหรอกค่ะ แค่อยากมาเป็นเพื่อนคุณท่านเท่านั้นเพราะดูเหมือนว่าวันนี้คุณท่านจะไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่"

"เก่งนะเนี้ยดูออกด้วย ทะเลาะกับที่บ้านมานะจ๊ะ งั้นเราไปทานข้าวกันก่อนดีกว่าเดี๋ยวมาช็อปปิ้งกัน"

"ค่ะคุณท่าน"

ลูกปลาพาคุณหญิงเพ็ญนภาเดินเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่น เพราะท่านบอกว่าชอบทานมาก ทั้งสองคนสั่งตามที่ชอบโดยที่หญิงสาวเลี่ยงที่จะสั่งอาหารราคาแพงเพราะเกรงใจท่าน

"อะไรกันลูก สั่งแค่นั้นเองทำไมไม่เอาซาชิมิปลาดิบอะไรล่ะ ทานแต่ราเม็งมันไม่อร่อยหรอก"

"คือลูกปลาไม่ค่อยได้กินแบบนี้เท่าไหร่ค่ะ ก็เลยไม่รู้ว่าแบบไหนรสชาติจะดี ทานของที่มันคุ้นเคยไว้ก่อนน่าจะดีกว่า"

คุณหญิงมองเด็กสาวอย่างเอ็นดู ใสซื่อถ่อมตัวไม่โลภอยากได้นั้นนี่ทั้งที่เธอเป็นคนเสนอให้เอง เด็กแบบนี้น่าสนับสนุนและน่าคบหาที่สุด

"งั้นฉันสั่งให้นะ เอาที่อร่อยที่สุดเลย"

"อย่าสั่งมาเยอะนะคะ ลูกปลาไม่ค่อยถูกกับของแพงค่ะเดี๋ยวทานไม่หมดจะดูไม่ดีเอา แหะๆ"

"จ๊ะ งั้นสั่งพอดีเนาะ"

คุณหญิงหันไปสั่งเซตราคาแพงให้เธอ ทั้งสองคนก็นั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย คนที่คุณหญิงคุยด้วยได้อย่างสบายใจก็มีไม่กี่คน แถมหนึ่งในนั้นคือเด็กสาวคนนี้ เธอเหมือนนักจิตวิทยาที่คุยกับใครก็ดูเข้าอกเข้าใจคนอื่นไปหมด

"ทานนี่จ๊ะอร่อยมาก"

คุณหญิงคีบปลาแซลมอนใส่จานให้เธอหลังจากที่อาหารมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ ทั้งสองคนทานไปคุยกันไปอย่างเพลิดเพลินจนเวลาล่วงเลยไปเกือบชั่วโมงก็ท้องอิ่มกันแล้ว

"กินไม่ค่อยเยอะเลยนะหนูลูกปลา"

"ลูกปลาทานไม่เยอะค่ะ มันเปลืองเงิน"

"โธ่เอ้ยลูก ถ้าหนูมาเกิดเป็นลูกสาวของฉันนะจะไม่ปล่อยให้ลำบากแบบนี้เลย"

คุณหญิงมองเด็กสาวอย่างสงสาร จะโทษพ่อกับแม่ของเธอก็ไม่ได้พื้นฐานคนเรามันไม่เท่ากัน แต่พวกเขาโชคดีอย่างหนึ่งคือมีลูกที่ประเสริฐมาก ทำงานส่งเสียตัวเองเรียนจนจบไม่รบกวนพ่อแม่แถมยังหาเงินให้ใช้ทุกเดือนอีก ใครได้ลูกแบบนี้โชคดีกว่าถูกหวยอีก

"หนูไม่ได้ลำบากอะไรเลยค่ะคุณท่าน ถ้าอยู่อย่างพอเพียงที่บ้านมันก็ได้ค่ะ แต่หนูอยากเรียนในที่ดีๆจะได้มีความรู้และความสามารถมาหางานทำที่มันมั่นคง เงินเดือนเยอะๆ เรียนเชฟนี่เป็นสิ่งที่ลูกปลาชอบที่สุดเลยค่ะ แต่ว่าการทำขนมเป็นสิ่งที่ชอบมากกว่าก็เลยมาสมัครงานที่ร้านนี้ เชฟที่นี่ใจดีมากเลยค่ะสอนทุกอย่างเลยแถมคุณฟ้ายังใจดียิ่งกว่า ถ้าไม่มีท่านลูกปลาคงไม่มีวันนี้ค่ะ"

เธอซาบซึ้งในความมีน้ำใจของท่านมาก เธอเรียนหนักลาบ่อยท่านก็จ่ายเงินไม่มีหัก ท่านพูดไว้เสมอว่าอยากสนับสนุนเด็กให้มีอนาคตที่ดี ท่านมีพระคุณกับเธอมาก

"กตัญญูรู้คุณจริงนะเราเนี้ย ไปช็อปปิ้งกันดีกว่าเดินย่อยซะหน่อย"

"ได้ค่ะ อ๊ะ!"

ลูกปลาเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มากดดูหน้าจอ เป็นเบอร์ของคุณพ่อของเธอเอง โทรมาเวลานี้มีอะไรด่วนรึเปล่านะ

"รับโทรศัพท์ก่อนก็ได้จ๊ะ"

"พ่อโทรมาน่ะค่ะ งั้นหนูขอออกไปคุยแปปหนึ่งนะคะ"

"ไปเถอะเดี๋ยวฉันตามออกไป"

ลูกปลาลุกขึ้นเดินออกไปนอกร้านก่อนจะกดรับโทรศัพท์จากผู้เป็นพ่อทันที

"ว่าไงจ๊ะพ่อ"

เธอเอ่ยออกมาเสียงหวาน คิดถึงพวกท่านมากอยากกอดแต่ไม่สามารถทำได้เพราะมีหน้าที่ที่ต้องทำอยู่ทางนี้ เธอเป็นเด็กต่างจังหวัดมาอยู่กรุงเทพคนเดียวตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย ดีที่เจอเจ้านายใจดีจึงทำให้เธออยู่ได้สบายมาก

(ลูกปลา แม่เอ็งเข้าโรงพยาบาล)

"อะ..อะไรนะพ่อ! แม่เป็นอะไร"

(หมอบอกว่าแม่เอ็งเป็นมะเร็งที่ปอด ที่โรงพยาบาลไม่มีเครื่องมือดีพอต้องส่งไปโรงพยาบาลในตัวอำเภอ)

ลูกปลาตกใจมากไม่เคยคิดเลยว่าแม่จะป่วยหนักขนาดนี้ เธอมือไม้สั่นไปหมดไม่รู้ว่าจะทำยังไงก่อนหลังดี

"เป็นมะเร็งที่ปอด! แล้วพ่อทำเรื่องส่งตัวไปแล้วหรือยัง ใช้เงินเท่าไหร่บอกหนูมา หนูพอมีเก็บเอาไปก่อนเลยนะ"

ผู้เป็นพ่อถึงกับน้ำตาร่วง สงสารลูกสาวจับใจเกิดมาก็ไม่ได้สบายอะไรแถมยังต้องมาลำบากเลี้ยงดูพ่อแม่อีก คนดีๆอย่างลูกปลาไม่ควรต้องมาลำบากแบบนี้เลย

(พ่อสงสารเอ็งมากลูกปลาเอ้ย แม่ก็ไม่ยอมให้บอกเพราะกลัวว่าเอ็งจะลำบาก แต่หมอบอกว่าแม่เอ็งควรได้รับการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด ซึ่งถ้าโรงพยาบาลในตัวอำเภอต้องรอคิวอีกหมอกลัวว่ามันจะลามไปเรื่อยๆ ถ้าเกิดเรามีเงินหมอแนะนำให้ไปเอกชนแม่เอ็งจะปลอดภัย)

"แล้วเอกชนใช้เงินเท่าไหร่จ๊ะ ฉันมีอยู่แสนหนึ่งพ้อเอาไปก่อนได้เลยจ๊ะ หนูจะทำงานให้มากขึ้นแล้วหาเงินมาให้อีก"

ลูกปลายอมทำทุกอย่างเพราะชีวิตของผู้มีพระคุณนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด เธอกำลังเรียนจบและจะได้ทำงานที่ดีมีอนาคต แม่ควรจะอยู่เห็นความสำเร็จของเธอก่อน

(หมอบอกว่าห้าแสน เราจะไปเอาเงินจากไหนกันล่ะลูก บ้านที่ติดธนาคารก็ยังไม่ได้ไถ่ออกมาจะไปจำนองเขาก็ไม่ได้)

"ห้าแสนเลยเหรอจ๊ะ เราจะไปเอาเงินมาจากไหน"

ลูกปลาแทบทรุดลงกับพื้นก่อนจะปาดน้ำตาที่มันไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอถึงกับตันไปหมดไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร เงินตั้งห้าแสนเธอจะไปเอามาจากไหนกัน....

"พ่อรอหนูก่อนนะ ดูแลแม่ด้วยหนูขอเวลาหน่อยแล้วจะรีบโทรไปหานะจ๊ะ"

(เอ็งอย่าฝืนนะไอ้ลูกปลา ถ้าไม่มีก็คือไม่มี รอคิวที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดก็ได้อย่างน้อยแม่เอ็งก็ได้รักษา)

"ฉันจะรีบโทรหานะจ๊ะพ่อ"

(เออๆ พ่อจะรอเอ็งตัดสินใจนะ)

ลูกปลากดวางสายก่อนจะร้องไห้ออกมาเพื่อระบายสิ่งที่มันอัดอั้นอยู่ในใจ เธอจะทำยังไงดีแม่ของเธอถึงจะรอด เงินห้าแสนมันหาได้แต่หาตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ เธอมีเงินเก็บอยู่แสนหนึ่งเพราะตั้งใจว่าถ้าเก็บได้มากพอจะไปเปิดร้านขนมที่บ้าน แต่ตอนนี้เรื่องชีวิตของแม่สำคัญที่สุดแล้วเธอจะไปหาเงินมาจากไหนดี

"ฮึก! ทำยังไงดี"

คุณหญิงเพ็ญนภาหลังจากจ่ายเงินเสร็จก็เดินออกมา และคงเป็นความบังเอิญเธอได้ยินที่ลูกปลาคุยโทรศัพท์ทุกอย่าง

"แม่เป็นมะเร็งปอดอย่างนั้นเหรอ"

คุณหญิงเพ็ญนภามองเด็กสาวที่ตอนนี้นั่งร้องไห้อยู่หน้าร้านอาหารก็อดสงสารไม่ได้ เงินแค่ห้าแสนเธอช่วยได้สบาย แต่คนอย่างหนูลูกปลาไม่ยอมรับเงินจากเธอแน่นอนยิ่งให้ฟรีๆยิ่งไม่รับไว้แน่

"เอาไงดีล่ะ..."

บทก่อนหน้า
บทถัดไป