บทที่ 2: เขาเป็นพ่อของเด็กหรือ?
ปวีณากระชากผ้าห่มออกจากตัวของกานดาแล้วโยนลงบนพื้น
ปวีณาใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนผ้าห่มผืนนั้น
สิ่งที่ถูกเหยียบย่ำไม่ใช่แค่ผ้าห่ม แต่เป็นศักดิ์ศรีของเธอด้วย
กานดาไม่ได้พูดอะไร เธอรู้ดีว่าตราบใดที่น้องสาวยังอยู่ที่นี่ เธอก็ไม่สามารถเอาอะไรไปได้เลย สู้เดินออกไปตัวเปล่าแบบนี้เสียดีกว่า
ข้างนอกมีทั้งฟ้าแลบฟ้าร้องและฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
กานดาเดินฝ่าสายฝนที่โหมกระหน่ำ ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ไหลอาบใบหน้าคือน้ำฝนหรือน้ำตา
โชคดีที่ฝนตกหนักขนาดนี้ ทำให้บนถนนไม่มีใครเลยสักคน
แต่นั่นกลับยิ่งทำให้กานดารู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น
เธอมองไปยังบ้านตระกูลสุวรรณ มองสถานที่ที่ทำให้เธอตกต่ำลงสู่ขุมนรก และแอบสาบานในใจ!
เธอจะทวงคืนทุกอย่างที่เป็นของเธอกลับมา!
ห้าปีต่อมา
สนามบินเมืองมัณฑ์วี
กานดามองสถานที่ที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกตาด้วยความรู้สึกเหม่อลอย ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามาในใจ
ห้าปีแล้ว ที่เธอได้กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดแห่งนี้อีกครั้ง
เมื่อห้าปีก่อน ในวันฝนตกหนักวันนั้น เธอเดินอยู่สามชั่วโมงเต็มจนไปถึงบ้านเพื่อนสนิทเพื่อขอความช่วยเหลือ
โชคดีที่มีเพื่อนคอยอยู่เคียงข้าง ทำให้กานดาผ่านพ้นช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตมาได้
หลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน กานดาก็พบว่าตัวเองตั้งท้อง และหลังจากที่ลลิตาเพื่อนสนิทของเธอเกลี้ยกล่อม เธอก็ตัดสินใจคลอดลูกทั้งสามคนออกมา
เพื่อมอบสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับลูกๆ และเพื่อตัวเธอเอง เธอจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะไปต่างประเทศ
เมื่อลลิตารู้เรื่อง เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่นำนาฬิกาปาเต็ก ฟิลิปป์ที่คุณพ่อเพิ่งซื้อให้ไปขาย เพื่อให้กานดามีทุนในการเริ่มต้นชีวิตใหม่
พูดได้เลยว่าถ้าไม่มีลลิตา ก็คงไม่มีกานดาในวันนี้
รถเฟอร์รารี่สีแดงคันหนึ่งขับออกจากสนามบิน
บนรถ เด็กน้อยสามคนกำลังนอนหลับอยู่
คนที่ขับรถอยู่ก็คือลลิตา เพื่อนสนิทของกานดานั่นเอง
"กานดา เธอนี่นะเป็นถึงนักออกแบบจิวเวลรี่ระดับท็อปของต่างประเทศ เงินเดือนเป็นสิบล้าน แถมยังมีดาราดังๆ ตามจีบตั้งหลายคน ทำไมถึงกลับมาล่ะ?"
เงินเดือนสิบล้าน พูดว่าทิ้งก็ทิ้งได้เลย ลลิตานับถือในความเด็ดเดี่ยวของเพื่อนคนนี้มาก!
กานดามองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง "มีคนเสนอเงินเดือนสามเท่าจากบริษัทบริลเลียนท์เพื่อดึงตัวฉันกลับมา ฉันก็ต้องกลับมาสิ แล้วฉันก็จะมาทวงของที่เป็นของฉันคืนด้วย!"
บริษัทบริลเลียนท์คือหยาดเหงื่อแรงกายตลอดชีวิตของแม่ และเป็นสิ่งเดียวที่แม่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า จะตกไปอยู่ในมือของคนนอกอย่างปวีณาได้อย่างไร?
"นังปวีณานั่นพอได้คุมบริษัทบริลเลียนท์แล้วก็บริหารไม่เป็นเลย ทำเอาบริษัทซบเซาจนใกล้จะเจ๊งอยู่รอมร่อ แต่ดันโชคดีไปเกาะบริษัท RME ได้ กลายเป็นผู้หญิงของคุณธนินท์"
"แต่ว่านะ ถ้าหล่อนรู้ว่าคนที่พวกหล่อนจ้างมาด้วยเงินเดือนสูงลิ่วคือนักออกแบบจิวเวลรี่อย่างเธอ หล่อนจะไม่โมโหจนอกแตกตายเลยเหรอ?"
ลลิตาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ภาพนั้นต้องสนุกมากแน่ๆ
คุณธนินท์? หรือว่าจะเป็นธนินท์คนเดียวกับที่จะแต่งงานกับฉันเมื่อตอนนั้น?
กานดายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ เธอจำได้ลางๆ ว่าบริษัทของตระกูลธาดาวรวงศ์ก็คือบริษัท RME แต่ก็ผ่านมาตั้งห้าปีแล้ว จำไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ
รถจอดที่หน้าประตูบริษัทบริลเลียนท์ หลังจากส่งกานดาลงแล้ว ลลิตาก็พาเด็กน้อยสามคนกลับบ้านไป
ภายในห้องสัมภาษณ์ของบริษัทบริลเลียนท์ กรรมการสัมภาษณ์สามคนได้ให้โจทย์สุดหินกับกานดา โดยให้เธอออกแบบจิวเวลรี่ภายใต้หัวข้อ ‘ร่องรอยแห่งกาลเวลา’ ณ ตรงนั้นเลย
พร้อมกันนั้นยังได้เชิญอาจารย์ประเสริฐ นักออกแบบจิวเวลรี่ชั้นนำของประเทศมาร่วมประเมินด้วย อาจารย์ประเสริฐอยู่ในวงการจิวเวลรี่มาห้าสิบเอ็ดปี มีประสบการณ์โชกโชน สายตาเฉียบแหลม บริษัทจิวเวลรี่ในประเทศหลายแห่งมักจะเชิญท่านมาประเมินผลงานของบริษัท หากได้รับคำชมจากท่านก็จะโด่งดังไปทั่วประเทศ
นี่คือการทดสอบ เพื่อดูว่าอาจารย์นักออกแบบจิวเวลรี่ระดับท็อปที่กลับมาจากต่างประเทศคนนี้มีฝีมือจริงหรือไม่
การทดสอบครั้งนี้ปวีณาเป็นคนจัดฉากขึ้นมาเอง เงินเดือนตั้งห้าสิบล้าน! เธอจะไม่ทดสอบหน่อยได้อย่างไร? หากดีไซน์ของเธอทำให้อาจารย์ถึงกับต้องทึ่ง งบประมาณที่จ่ายไปก็ถือว่าคุ้มค่า แต่ถ้าเธอมีแค่ชื่อเสียงจอมปลอม ก็ให้เธอกลับไปที่ที่จากมาซะ
กานดารับคำท้าอย่างยินดี
จำกัดเวลาสองชั่วโมง แต่กานดาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ออกแบบเสร็จและส่งมอบให้พวกเขา
พวกเขานำผลงานของกานดาไปส่งให้อาจารย์ประเสริฐที่นั่งอยู่ในห้องด้านหลัง
กานดาซึ่งไม่รู้เรื่องนี้ก็ยังคงรอผลอย่างใจเย็น
สิบนาทีต่อมา ประตูถูกผลักเปิดออกอย่างแรง ชายชราผมขาวคนหนึ่งรีบวิ่งมาตรงหน้ากานดาด้วยท่าทีตื่นเต้น
"ดีไซน์ชิ้นนี้แสดงถึงธีม ‘ร่องรอยแห่งกาลเวลา’ ออกมาได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นแท้ แค่เห็นภาพร่างก็จินตนาการถึงความงดงามของจิวเวลรี่ชิ้นนี้เมื่อทำเสร็จได้แล้ว ทุกรายละเอียดถูกจัดการอย่างยอดเยี่ยม ผสมผสานความทันสมัยและความคลาสสิกเข้าด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอก!"
กานดายิ้มออกมา เธอพอใจกับคำชมแบบนี้มาก
"จริงสิ แนวคิดในการออกแบบของคุณคืออะไร?" อาจารย์ประเสริฐถามขึ้นมาทันที
"แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากธรรมชาติค่ะ เพชรเป็นตัวแทนของความเป็นนิรันดร์และความบริสุทธิ์ ส่วนไพลินสีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ของสติปัญญาและความลุ่มลึก ฉันหวังว่าสร้อยคอเส้นนี้จะสามารถสื่อถึงความเคารพต่อธรรมชาติและความรักในชีวิตได้ค่ะ..."
อาจารย์ประเสริฐฟังแล้วพยักหน้าไม่หยุด แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชมยิ่งขึ้น
"เป็นการออกแบบที่ยอดเยี่ยมมาก พูดตามตรงนะ แม้แต่ผมเองก็ยังทำไม่ได้ ขัดเกลาฝีมือในวงการนี้มากว่าห้าสิบปี คุณทำให้ผมได้เห็นกับตาว่าคลื่นลูกใหม่ย่อมแรงกว่าคลื่นลูกเก่าเป็นอย่างไร"
คำชมอย่างสูงของอาจารย์ประเสริฐที่มีต่อกานดา ทำให้คนทั้งสามที่อยู่ด้านหลังนั่งไม่ติด
หนึ่งในนั้นรีบลุกออกจากที่นั่ง แล้วโทรหาปวีณา
"อะไรนะ? ค่ะ ได้ค่ะ ดิฉันทราบแล้ว!"
ปวีณาวางสายด้วยความตื่นเต้นสุดขีด นักออกแบบจิวเวลรี่คนใหม่ที่ดึงตัวมาได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากอาจารย์ เธอดีใจยิ่งกว่าใครๆ และแทบรอไม่ไหวที่จะแบ่งปันข่าวดีนี้กับธนินท์
ในห้องทำงานของธนินท์ ปวีณาด้วยความตื่นเต้นจึงพรวดพราดเข้าไปโดยไม่ได้เคาะประตู
ธนินท์ที่ตอนแรกทำหน้าไม่พอใจ พอเห็นว่าเป็นปวีณาก็คลายคิ้วลง แล้วปรับอารมณ์ก่อนจะเอ่ยปากถาม
"มีเรื่องอะไรถึงได้รีบร้อนขนาดนี้?"
"พี่ธนินท์คะ ปวีได้ยินมาว่าสเตลล่า จิวเวลรี่ นักออกแบบจิวเวลรี่ที่พี่ดึงตัวมาจากต่างประเทศ ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากอาจารย์ประเสริฐของบ้านเรา เลยรีบมาแบ่งปันข่าวดีนี้กับพี่ค่ะ"
"สายตาพี่เฉียบแหลมจริงๆ ค่ะ ได้ยินว่าอาจารย์ประเสริฐพูดเองเลยว่าท่านยังออกแบบผลงานชิ้นนั้นของสเตลล่า จิวเวลรี่ไม่ได้เลย แถมเธอยังใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงในการสร้างสรรค์ผลงาน นี่ไงคะ! แบบร่างอยู่นี่ค่ะ"
เมื่อได้ยินปวีณาพูดเช่นนั้น ธนินท์ก็เริ่มสนใจ เขารับแบบร่างมาพิจารณาอย่างละเอียด
ครู่ต่อมา
"ใช้ได้ทีเดียว ไปบอกให้คนเรียกสเตลล่า จิวเวลรี่มาที่ห้องทำงานฉัน ฉันจะคุยกับเธอด้วยตัวเอง"
ปวีณารีบไปจัดการทันที
กานดาเดินมาถึงหน้าห้องทำงานของธนินท์ พอดีกับที่ได้ยินปวีณากำลังชื่นชมตัวเองอยู่
"ต้องขอบคุณสายตาอันเฉียบแหลมของพี่ธนินท์นะคะ สเตลล่า จิวเวลรี่เก่งขนาดนี้ ต้องทำให้บริษัทบริลเลียนท์ฟื้นคืนชีพได้อย่างแน่นอนค่ะ"
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ กานดาก็ยกยิ้มมุมปาก เธอแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้เห็นสีหน้าของปวีณาเมื่อรู้ว่าสเตลล่า จิวเวลรี่ก็คือตัวเธอนั่นเอง
เธอเคาะประตูห้อง
"เข้ามา"
เสียงทุ้มนิ่งของธนินท์ดังขึ้น
กานดาผลักประตูห้องทำงานแล้วเดินเข้าไป
"ยินดีต้อนรับสเตลล่า จิวเวลรี่สู่บริษัทของเรา..." ปวีณาพูดไปได้ครึ่งประโยคก็หยุดชะงักเมื่อเห็นหน้ากานดา เธอตกตะลึงจนยืนนิ่งเป็นหินอยู่ตรงนั้น
"ต้อนรับต่อสิคะ ทำไมไม่ต้อนรับแล้วล่ะ?"
กานดามองสีหน้าตกตะลึงของปวีณาแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ปวีณาที่รู้ตัวว่าเสียกิริยา ไม่สนใจที่จะรักษาภาพลักษณ์เดิมๆ ของตัวเองอีกต่อไป ร้องเสียงหลงว่า "รปภ.! พวกแกมัวทำอะไรกันอยู่? ปล่อยให้คนไร้ค่าแบบนี้เข้ามาในบริษัทได้ยังไง? ลากมันออกไปเดี๋ยวนี้!"
รปภ.ที่ได้ยินเสียงรีบเข้ามาอธิบายเสียงเบา "ท่านนี้คือนักออกแบบสเตลล่า จิวเวลรี่ที่คุณธนินท์เชิญมาไม่ใช่เหรอครับ?"
"อะไรนะ?" ปวีณาอ้าปากค้างด้วยความตกใจราวกับจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้สองฟอง
"ยัยนี่จะเป็นสเตลล่า จิวเวลรี่ชื่อดังได้ยังไง? แกแน่ใจนะว่าไม่ได้เข้าใจผิด?"
รปภ.พยักหน้ายืนยัน ตอนเข้ามาเขาได้ตรวจดูบัตรแล้ว
"เป็นไปไม่ได้!"
ปวีณารีบโทรหาลูกน้องของตัวเองเพื่อยืนยัน
กานดามองท่าทางบ้าคลั่งของเธอแล้วยกยิ้มมุมปาก ช่างน่าสนุกจริงๆ
"แกขึ้นมาดูด้วยตัวเองเลย!"
ปวีณาวางสาย สีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
ธนินท์ขมวดคิ้ว ท่าทีเสียอาการของปวีณาทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก เขาไม่พูดอะไรสักคำ แต่หันไปมองที่กานดา
ในขณะเดียวกัน กานดาก็มองไปที่ธนินท์
สี่ตาสบประสานกัน
กานดามองรูปร่างสูงสง่าของธนินท์ เขาสูงโปร่ง เครื่องหน้าลึกคมชัด โดยเฉพาะดวงตาที่เย็นชาไร้ความรู้สึกคู่นั้น ทำให้คนรู้สึกกดดันโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจที่สุดคือใบหน้าของธนินท์!
เครื่องหน้าของเขาคล้ายกับลูกชายสุดที่รักของเธอมาก!
โดยเฉพาะท่าทีตอนขมวดคิ้วเหมือนถอดแบบกันออกมาจากพิมพ์เดียวกันจริงๆ!
"กานดา นังตาถั่ว มองอะไรของแก?"
