บทที่ 2 แลกหัวใจด้วยรัก บทที่ 2

อัยย์ญาดาหน้าซีดลงขณะพนักงานสาวทำสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดและพิจารณา หล่อนมองคนที่มาสมัครงานตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า และเวลาเดียวกันนั้นเองหน้าห้องฝ่ายบุคคลขณะเด็กหญิงนั่งรอบนเก้าอี้ก็หันซ้ายหันขวาเห็นว่ามารดายังไม่ออกมาจึงล้วงหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกง มันเป็นลูกแก้วในถุงตาข่ายที่รบเร้าให้แม่จ๋าซื้อให้เมื่อวาน อรินลดาใช้ความพยายามแกะมัน

“อุ๊ย!”

เด็กหญิงอุทานและทำตาโตด้วยความไร้เดียงสาหนูน้อยฉีกตาข่ายบางออกทำให้ลูกแก้วนับสิบร่วงลงพื้นและกระเด็นกระดอนไปทั่ว ร่างเล็กเลื่อนตัวลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งตามเก็บลูกแก้วเล็ก ๆ ที่กลิ้งไปบนพื้น แต่แล้วเมื่อกำลังจะเอื้อมเก็บลูกสุดท้ายที่กลิ้งไปไกลก็ต้องชะงักเมื่อมีมือของใครคนหนึ่งหยิบของเล่นนั้นไว้ อรินลดาเงยหน้าขึ้น นัยน์ตากลมใสสะท้อนภาพร่างสูงใหญ่และใบหน้าคร้ามคมขณะโน้มตัวลงมาและถามว่า

“นี่ของหนูเหรอ?”

“ช่ายค่ะ...ขอหนูนะ”

เด็กหญิงแบมือเล็ก ๆ ออกจุดรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาและประกายนุ่มนวลในดวงตาสีสนิมเหล็กใต้ปื้นคิ้วดำหนา อรินลดาจ้องมองบุรุษร่างสูงสง่าตรงหน้าที่ยื่นลูกแก้วกลับมาทว่าเขายังไม่ยอมส่งมันให้เด็กน้อยก่อนตั้งคำถามว่า

“แล้วนี่หนูมาทำอะไรที่นี่ หนูมาคนเดียวหรือ?”

“น้องเอ๋ยมากับแม่จ๋าค่ะ...แม่จ๋าเข้าไปในห้องนู้น...ยังไม่ออกมา”

ตอบพลางหันหลังให้และชี้นิ้วเล็ก ๆ ไปยังห้องซึ่งด้านหน้ามีป้ายติดว่า ฝ่ายบุคคล ร่างสูงมองตามก่อนรอยยิ้มจางผุดพรายขึ้นบนริมฝีปากหยักได้รูปและคราวนี้เขาคืนลูกแก้วให้เด็กหญิงตัวน้อยที่รับเอาไว้ในมือเล็กที่มีลูกแก้วกองเต็มฝ่ามือ เขามองท่าทีลิงโลดและดวงตาเป็นประกายใสแจ๋ววับวาวเมื่อได้ของกลับคืนอย่างนึกเอ็นดูขณะย่อตัวลงและจ้องมองดวงหน้าหมดจดของเด็กวัยสี่ขวบกว่าตรงหน้า

“ชื่อน้องเอ๋ยหรือ...น้องเอ๋ยกลับไปนั่งรอแม่จ๋าของหนูที่หน้าห้องนั้นนะ แล้วอย่าไปเล่นซนที่ไหน เดี๋ยวแม่จ๋าของน้องเอ๋ยเสร็จธุระกลับออกมาจะไม่พบ”

“ค่ะ...”

อรินลดารับคำ แต่ก่อนจะกลับไปนั่งก็หันกลับมาและถามชายหนุ่มที่ยืดลำตัวขึ้นยืนเต็มความสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรว่า

“คุณชื่ออะไรคะ?”

เมื่อหนูน้อยตั้งคำถามอีกฝ่ายเงียบไปอึดใจก่อนตอบด้วยรอยยิ้มว่า

“ฉันชื่อ...ชาครินทร์”

“มีชื่อเล่นไหมคะ?”

“ชื่อเล่นว่า...โอม”

“ชื่อเหมือนป๊ะป๋าของน้องเอ๋ยเลยค่ะ”

พูดอย่างภูมิใจพลางยิ้มอวดฟันขาวเรียงตัวเป็นระเบียบไม่มีผุเลยสักซี่ ทว่าแววประหลาดใจผุดวาบขึ้นมาเพียงชั่วขณะบนดวงตาคมปลาบของร่างสูงสง่าในชุดสูทสีเทาควันบุหรี่ก่อนมันจะจางลงและกลายเป็นราบเรียบ ชาครินทร์ก้าวเข้าไปและลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มนวลเป็นคลื่นเล็ก ๆ ของอรินลดาอย่างนึกเอ็นดู มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นใต้จิตสำนึกก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“ป๊ะป๋าของน้องเอ๋ยชื่อโอมเหมือนกันเหรอ...อืม...ดีจัง...ถ้างั้นเจอกันวันหลังน้องเอ๋ยเรียกฉันว่าป๋าโอมก็ได้นะ”

“ค่ะ...ป๋าโอม”

ชายหนุ่มพยักหน้าซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกับเด็กหญิงคนนี้ที่รู้สึกถูกชะตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างสูงสมาร์ทเดินห่างออกไปโดยมีสายตาไร้เดียงสาของอรินลดามองตามก่อนเห็นหลังกว้างหายไปและประตูห้องฝ่ายบุคคลเปิดออก ร่างเล็กหันมองและยิ้มกว้างอีกครั้งเมื่อเห็นมารดาก้าวออกมายืนปาดเหงื่อหน้าห้อง หนูน้อยกระโดดลงจากเก้าอี้แล้วเข้าไปกอดขาอัยย์ญาดา

“แม่จ๋า...เราจะกลับบ้านใช่เป่าคะ”

“ค่ะ...ใช่...เราจะกลับบ้านกันแล้วนะคะ”

เธอตอบเสียงเนือย ๆ ขณะนึกถึงคำพูดของพนักงานฝ่ายบุคคลที่เข้าไปพบเมื่อครู่

“ดิฉันจะรับใบสมัครของคุณไว้ก่อนนะคะ แต่จะติดต่อไปเมื่อไหร่นั้นคงต้องเป็นไปตามขั้นตอนของทางโรงแรม แต่คิดว่าคงเร็ว ๆ นี้ค่ะเพราะท่านประธานพึ่งกลับจากเยอรมัน และตำแหน่งนี้ท่านอาจจะรับเรื่องไปพิจารณาด้วยตัวท่านเอง”

ซึ่งถ้าเร็ว ๆ นี้ก็คงจะดีไม่น้อย แต่แล้วความคิดของอัยย์ญาดาต้องชะงักลงเมื่อลูกน้อยกระตุกแขนเรียวเบา ๆ

“แม่จ๋าสัญญากับน้องเอ๋ยว่างายคะ”

“หืมม์?”

“แม่จ๋าบอกว่าจะพาน้องเอ๋ย...ไปกินขนมไง”

“อ๋อๆ...จ้ะๆๆ”

หญิงสาวรับปากแต่แอบลูบกระเป๋าเสื้อสูทและนึกอยู่ว่าวันนี้ใช้เงินเป็นค่ารถเดินทางไปสมัครงานหลายแห่งจนมันพร่องลงไปมาก และจริง ๆ แล้วตอนนี้การเงินของเธอง่อนแง่นอย่างถึงที่สุดหลังตกงานจากบริษัทเก่าที่เลย์ออฟพนักงานจากพิษเศรษฐกิจ อัยย์ญาดามีเงินเหลือเก็บจากการถูกเลิกจ้างพอประทังค่าใช้จ่ายไปได้หลายเดือนก็จริงแต่เงินใช้ไปก็ย่อมต้องร่อยหรอและเธอกำลังพยายามดิ้นรนหางานใหม่เพื่อแบกรับภาระมากมายที่แบกบนบ่า

อรินลดากำลังจะเข้าโรงเรียน แม่เธอป่วยเป็นโรคร้ายและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังพ่อเสียชีวิตไปกว่าสามปีบ้านที่จำนองไว้กำลังจะถูกยึด แต่เธอยังมีกำลังใจและคิดว่าสักวันจะพ้นจากปัญหาที่รุมเร้าหลังเก็บตัวอยู่ในบ้านตลอดระยะเวลาสองปีเมื่อต้องเป็นเจ้าสาวที่ถูกเจ้าบ่าวทิ้งกลางงานแต่งและเขาคนนั้นไม่รู้เลยว่าเธอตั้งครรภ์ได้เดือนกว่า ทุกอย่างในชีวิตของอัยย์ญาดาพังพินาศ ความฝันถูกกระชากลงเหวลึก นาฬิกาชีวิตราวกับหยุดเดินไปชั่วกัปชั่วกัลย์ในวัยเพียงสิบแปด ยังเยาว์เหลือเกินสำหรับฝันร้ายที่ทำให้เธออับอายจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ หากไม่มี...น้องเอ๋ย

“เดี๋ยวแม่จ๋าจะพาน้องเอ๋ยไปกินขนมอร่อย ๆ ก่อนกลับบ้านนะ น้องเอ๋ยยังไม่เหนื่อยใช่ไหม”

“น้องเอ๋ยไม่เหนื่อย...ม๊ายเหนื่อย”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป