บทที่ 4 - ความหวัง
มุมมองของมาร์โกต์
โลกไม่เคยรู้สึกว่างเปล่าเท่านี้มาก่อน
อีเมลจากนรกฉบับนั้น...จดหมายปฏิเสธที่ควรจะเป็นตั๋วเที่ยวเดียวพาฉันออกไปจากที่นี่ บัดนี้กลับรู้สึกราวกับมันถูกฉีกกระชากจนไม่เหลือชิ้นดี
อกฉันปวดหนึบ ความรู้สึกโหวงเหวงลึกๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่างขณะที่ฉันพยายามทำความเข้าใจกับความจริงว่าเรื่องนี้มีความหมายต่อฉันอย่างไร
มีความหมายต่อมิตรภาพของเราอย่างไร
ฉันจะไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น
แต่คาร่าจะได้ไป
อีกไม่กี่นาทีเธอก็จะจากที่นี่ไปแล้ว และฉันจะต้องอยู่ที่นี่ ติดแหง็กอยู่ในเมืองเดิมที่ฉันโหยหาอยากจะหนีไปจากมันมานานหลายปี
ฉันกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก บังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์แม้ว่าน้ำหนักของทุกสิ่งจะกดทับลงมาบนบ่า
ฉันเริ่มโทษตัวเองที่เคยสงสัยในแผนการทั้งหมด ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วว่าตัวเองมีส่วนที่ทำให้มันล้มเหลว...
ลมหนาวบาดผิวขณะที่เรานั่งอยู่บนม้านั่งเก่าๆ โทรมๆ ในสวนสาธารณะที่ว่างเปล่า ที่เดียวกับที่เราเคยใช้เวลาด้วยกันนับไม่ถ้วนในตอนบ่ายเพื่อฝันถึงวันที่จะได้จากที่นี่ไปด้วยกัน
แต่ตอนนี้ จะมีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น
ฉันมองไปทางคาร่าที่กำลังจ้องมองกระดาษในมือ คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันด้วยความสับสน เธอยกแผ่นกระดาษขึ้น พลิกไปมาระหว่างสองแผ่น ดวงตาไล่สแกนข้อความอย่างร้อนรน
“นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย” เธอพึมพำออกมา
“อะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเหรอ” เสียงฉันแหบแห้งไร้ชีวิตชีวา แต่ฉันไม่สนใจด้วยซ้ำ
แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ
คาร่าเม้มปากเป็นเส้นตรง “ทำไมอีเมลของเธอถึงยาวขนาดนี้ พรินต์ออกมาตั้งสองหน้าแทนที่จะเป็นหน้าเดียว” เธอพลิกหน้ากระดาษอีกครั้ง “ของฉันมีแค่หน้าเดียว แต่ของเธอ... ของเธอพรินต์ออกมาสองหน้าเหรอ”
ฉันแทบไม่ได้สนใจคำพูดของเธอ จิตใจของฉันยังคงติดอยู่ในวังวนไม่รู้จบของทุกสิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป
พรุ่งนี้ฉันจะต้องตื่นขึ้นมาและแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรสำคัญ ฉันจะต้องเดินผ่านตึกเก่าๆ เดิมๆ ทนกับสายตาเดิมๆ ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ
คนเดียว
ตอนนี้ฉันจะต้องทำทุกอย่างโดยไม่มีเธอ
แล้วฉันจะผ่านมันไปได้ยังไง
คาร่าสูดหายใจเข้าลึกจนเกิดเสียงดัง ฉุดฉันออกจากภวังค์ความคิด “แปลกมากเลย” เธอพึมพำ “ปกติเขาไม่เขียนอะไรยาวขนาดนี้สำหรับจดหมายปฏิเสธไม่ใช่เหรอ”
ฉันยักไหล่ ท่าทางเชื่องช้าอ่อนแรง “แล้วมันสำคัญด้วยเหรอ”
เธอไม่สนใจฉัน นิ้วของเธอกำกระดาษแน่นขึ้นขณะไล่อ่านแผ่นที่สองอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเธอกวาดเร็วยิ่งขึ้น ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อยขณะที่อ่าน
แล้วเธอก็แข็งทื่อ
ร่างกายเกร็งแน่น นิ้วมือบีบกระดาษแรงจนมันยับยู่ยี่คามือ
“มาร์โกต์...” เธอเริ่มพูด เสียงแผ่วเบาราวกระซิบ แล้วลมหายใจของเธอก็สะดุด
เสียงหอบดังหลุดจากลำคอของเธอ ดังและแหลมพอที่จะทำให้หัวใจฉันกระตุก
เธอผุดลุกขึ้นยืน หันขวับมาทางฉันด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
“มาร์โกต์... มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด!”
ฉันกะพริบตามองเธอ สมองที่เหนื่อยล้าแทบจะไม่รับรู้สิ่งที่เธอเพิ่งพูด “อะไรนะ”
เธอไม่ได้ตอบในทันที แต่กลับยื่นกระดาษแผ่นที่สองมาตรงหน้า แทบจะจ่อเข้ามาที่หน้าฉัน
“ดูสิ! ดูตรงข้างล่างนี่! มันมีต่อ... มันมีต่อมาตลอดเลย!”
ฉันรับกระดาษจากเธอมาอย่างงุนงง หรี่ตามองมัน ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปชั่วขณะ ศีรษะยังคงหนักอึ้งจากน้ำหนักของจดหมายปฏิเสธ แต่แล้วเมื่อสายตาปรับได้ ฉันก็เห็นมัน
อีเมลฉบับที่สอง
มันแนบอยู่ด้านล่าง จัดรูปแบบเหมือนเป็นอีเมลตอบกลับ
ฉันแทบหยุดหายใจขณะที่อ่านข้อความนั้น
“จากการตรวจสอบบันทึกของเราเพิ่มเติมได้พบว่า ใบสมัครของคุณถูกรวมเข้ากับของผู้สมัครอีกรายที่มีนามสกุลเดียวกันโดยไม่ได้ตั้งใจ เราเสียใจที่ต้องแจ้งให้ทราบว่าคุณได้รับอีเมลปฏิเสธเนื่องจากความผิดพลาดนี้...”
ท้องของฉันบิดปั่นป่วนอย่างรุนแรง
“เรามีความยินดีที่จะแจ้งให้คุณทราบว่าใบสมัครของคุณได้รับการดำเนินการเรียบร้อยแล้ว คุณได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการพริซันโปรเจกต์ ขอแสดงความยินดี! คุณมีกำหนดการเดินทางในวันที่ 20 จากท่าเรือเมโดว์แบงก์ โดยคำแนะนำเพิ่มเติมจะถูกส่งไปให้คุณทางอีเมล โปรดตรวจสอบในโฟลเดอร์ขยะของคุณด้วย และเราหวังว่าจะได้ต้อนรับคุณเข้าสู่โครงการ”
ฉันสูดหายใจเฮือก มือสั่นระริกขณะกำกระดาษในมือแน่น
ฉันอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นี่มันต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่ๆ
งั้นทั้งหมดก็เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเหรอ
ที่จริงแล้วฉันไม่ได้ถูกปฏิเสธ?
ฉันได้รับการตอบรับ?
ฉันเงยหน้ามองคาร่า ปากอ้าๆ หุบๆ พยายามจะพูดอะไรสักอย่าง ความคิดในหัววิ่งวนเร็วจนฉันจับต้นชนปลายไม่ถูก มันท่วมท้นเกินกว่าจะทำความเข้าใจได้
“ฉัน—” เสียงฉันสั่นเครือ คอตีบตัน “ฉันได้เหรอ”
คาร่าพยักหน้าหงึกๆ อยู่แล้ว เธอหัวเราะหอบพลางคว้าแขนฉัน “ใช่! แกได้แล้วมาร์โกต์! มันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด! แกจะได้ไปจากที่นี่เหมือนกัน!”
คลื่นอารมณ์ถาโถมเข้าใส่ฉันรุนแรงและกะทันหันเกินไป หัวใจเต้นรัวกระหน่ำซี่โครง อกแน่นตึงเมื่อความจริงกระแทกเข้าอย่างจัง และน้ำตาก็เริ่มไหลอาบหน้า
ฉันจะได้ไปกับเธอ...
ความโล่งใจมันถาโถมเข้ามาจนน่าเวียนหัว เกือบจะรับมือไม่ไหว
ฉันหัวเราะเสียงแห้งออกมา กึ่งไม่อยากเชื่อ กึ่งท่วมท้นไปด้วยความรู้สึก ร่างกายฉันยังสั่นไม่หาย อะดรีนาลีนที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่างทำให้แขนขาอ่อนแรง
คาร่ายังคงยิ้มกว้าง เขย่าไหล่ฉันราวกับว่าเธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน “เราจะทำมันด้วยกันนะมาร์โกต์ เราทั้งคู่กำลังจะไปจากที่นี่ ถึงแม้มันจะเป็นคุกบ้าๆ นั่นก็เถอะ แต่เราทำได้แล้ว!”
ท้องไส้ฉันปั่นป่วนเมื่อความจริงทั้งหมดเริ่มซึมซับเข้ามา ฉันกำลังจะจากไป
แต่ก่อนอื่น เราต้องหาทางออกจากที่นี่ให้ได้...
รอยยิ้มของคาร่าจางลงเล็กน้อยเมื่อเธอก้มลงมองข้อมูลอีกครั้ง “บ้าเอ๊ย”
ฉันตัวแข็งทื่อ “อะไรอีกล่ะทีนี้ อย่าบอกนะว่ามีเรื่องเข้าใจผิดอีก!”
เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกกว้าง “เรือเฟอร์รี่ออกตอนบ่ายสองพรุ่งนี้ มาร์โกต์”
ฉันรู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบ นึกขึ้นได้ว่าเราอาจจะฉลองกันเร็วเกินไป...
“แล้วเราจะไปให้ถึงเมโดว์แบงก์ทันบ่ายพรุ่งนี้ได้ยังไงวะเนี่ย?!” ฉันตื่นตระหนกไม่ต่างจากเธอ พร้อมกับใช้มือลูบหน้าตัวเองเพื่อย้ำว่าจู่ๆ ก็รู้สึกเครียดขึ้นมาแค่ไหน
คาร่าเริ่มเดินไปมาอย่างร้อนรน “โอเคๆ ไม่เป็นไร เราแค่... เราแค่ต้องหาทางออกให้ได้”
“ยังไงล่ะ” ฉันโพล่งออกไป ความตื่นตระหนกเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว “เราไม่มีอะไรเลยนะคาร่า ไม่มีตั๋ว ไม่มีเงิน ไม่มีรถไปที่นั่น—”
“—แต่เรามีความสิ้นหวัง เราต้องหารถไปให้ได้โว้ย!” เธอสวนกลับมาทันควัน ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป
“มีรถบัสไปทางเมโดว์แบงก์ตลอดเวลานี่ เราน่าจะไปที่สถานีขนส่งแล้วดูว่ามีเที่ยวไหนออกเร็วๆ นี้บ้าง...” เธอเสนอ ฉันจึงพยักหน้าช้าๆ
“โอเค แต่เราไม่มีเงินนะ?!” ฉันพูดหน้าตาย ส่วนเธอก็กลอกตาใส่
“เรื่องนั้นฉันจัดการเอง!” คาร่าประกาศกร้าว ฉันถอนหายใจและรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากภาวนาขอให้มีปาฏิหาริย์
“โอเค งั้นก็ไปกันเถอะ!” ในที่สุดฉันก็ลุกขึ้นยืนกับเธอ พยักพเยิดไปในทิศที่ถูกต้อง แต่เท้าของคาร่ากลับไม่ยอมขยับ
“เดี๋ยวก่อน... เรา... เราต้องบอกลาพ่อแม่ไหม” เธอถามเชิงหยั่งเชิง เห็นได้ชัดว่ากำลังต่อสู้กับความคิดนี้ในใจ
ฉันหัวเราะเสียงกลวง “แกจะไปบอกก็ได้ แต่ฉันไม่ล่ะ เขาไม่สมควรได้รับอะไรจากฉันทั้งนั้นหลังจากเรื่องนี้!” ฉันพูดพลางชี้ไปที่รอยฟกช้ำดำเขียวที่ ‘ความรัก’ แบบพ่อๆ ของเขาทิ้งไว้ให้ฉันในครั้งนี้...
คาร่าสบตาฉันและเข้าใจในทันทีว่าทำไมฉันถึงปฏิเสธข้อเสนอนั้น
พ่อของฉันไม่สมควรได้รับอะไรจากฉันเลย ไม่ใช่คำบอกลา ไม่ใช่คำอธิบาย ไม่ใช่แม้แต่การปิดฉากใดๆ ทั้งสิ้น
ฉันกำลังจะไป และฉันไม่สนใจว่าเขาจะสังเกตเห็นหรือไม่ ทั้งยังไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดที่จะทิ้งเขาไว้ข้างหลัง
คาร่าพยักหน้าช้าๆ “อืม ส่วนแม่ฉันก็คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าฉันกำลังจะไป สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่แย่สำหรับท่าน...” เธอเค้นหัวเราะ แต่มันฟังดูฝืดเฝือเพราะเราทั้งคู่รู้ดีว่านั่นหมายความว่าอะไร
ท่านกลับไปติดยาหนักอีกแล้ว...
หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก
ไม่มีอะไรต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
เราแค่ก้าวต่อไป
เราไม่มีอะไรที่ควรค่าแก่การนำติดตัวไปด้วย ไม่มีกระเป๋าเดินทาง ไม่มีของดูต่างหน้าที่มีคุณค่าทางใจ ไม่มีอะไรเลยที่เราจะทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่คิดซ้ำสองไม่ได้...
สิ่งเดียวที่สำคัญคือการไปให้ถึงเรือเฟอร์รี่บ้าๆ นั่นให้ทันเวลา... ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม
