บทที่ 2 1
บ้านพักทิศตะวันออกของโรงแรมศิราวี (Siravie) คือที่พักของทายาทลำดับหนึ่งของนายพลอดิศวรผู้ล่วงลับ อนิรุจยืนอยู่บนชานกว้างชั้นสองซึ่งยื่นออกจากหน้าผา อัดบุหรี่เข้าเต็มปอดทอดสายตามองทะเลกว้าง อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนหนุ่มไฟแรงเข้ามารับช่วงกิจการของพ่อแบบมีเงื่อนไขได้ราวสองปี มันถูกระบุไว้ในพินัยกรรมว่าเขาจะต้องแต่งงานมีลูกภายในเวลาที่กำหนด
เขาตั้งใจเลือกมัสลินให้เป็นแม่ของลูกด้วยเหตุผลบางประการ หากก็ดีใจเมื่อได้รู้ว่าเธอกำลังจะมีลูกให้กัน แต่ความโล่งโปร่งสบายกลับจางไปจากใจเขานานตราบเท่าที่มัสลินหายไป
เขาอ้างว้าง เจ็บปวดกับความรู้สึกผิดที่กัดกินใจ
หากเพียงแค่คืนนั้นเขาไม่ยึดโทสะและฟังเธอบ้าง คงจะรู้ว่าภรรยาถูกนักเลงทำร้ายระหว่างเดินทางไปเอาของขวัญที่เตรียมไว้ให้เขา หากย้อนกลับไปได้เธอคงไม่ต้องออกจากท่าเรือทั้งค่ำมืดพร้อมกับอาการน่าเป็นห่วง เขาแทบไม่อยากมีชีวิตต่อเมื่อคนขับเรือที่ท่าของโรงแรมเล่าให้ฟัง
หกเดือนผ่านไปไม่รู้ว่าลูกในท้องจะเป็นตายร้ายดี จะเป็นเพศหญิงหรือชาย หรืออาจจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลกแล้วก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นคนที่ผิดก็คงไม่ใช่ใครนอกจากเขา
“เรือพร้อมแล้วนาย”
ผู้จัดการอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเปิดประตูเข้ามา เขาดับบุหรี่เดินตามออกไป หน้าบ้านหลังใหญ่กลับพบคนที่เขาไม่ต้องการ
“เสียใจด้วยนะ”
ปารวีแม่เลี้ยงที่อายุมากกว่าเขาเพียงห้าปีเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาเย้ยหยันเต็มขั้น
เขาพรูลมหายใจมองหล่อนปราดหนึ่งแล้วเลือกหมางเมิน ทำเอาคนมั่นใจในตัวเองรุ่มร้อนในใจ เขารู้ดีหล่อนต้องการยั่วโทสะ แต่ขอโทษ... เขาไม่หลงกล
ร่างใหญ่เดินเข้าไปสวมกอดปานปรารถนาน้องสาวต่างมารดาวัยสิบขวบที่น่ากลัวว่าจะซึมซับนิสัยแย่ ๆ หากปล่อยให้อยู่กับปารวีนานกว่านี้
“นุ้งขอไปด้วยได้มั้ย”
“ไม่ได้” ดวงตาใสซื่อตั้งคำถาม “พี่ไปทำธุระ” ปากเล็ก ๆ ยื่นออกพร้อมก้มหน้าคางชิดอก คนเป็นพี่ลูบศีรษะนุ่มแผ่วเบา “แล้วจะซื้อทุเรียนมาฝาก”
“สองลูกนะ”
“อือ”
เขารับปากน้องสาวแล้วดันกายลุกขึ้น พอดีกับปรัชญาน้องชายวัยยี่สิบเอ็ดปีเดินมาหา ฝ่ายนั้นเหยียดยิ้มสาแก่ใจให้พี่ชายโดยไม่ปิดบัง
“สมน้ำหน้าจริง ๆ เลยโว้ย”
ลูกคือกระจกเงาสะท้อนบุพการี แต่กระจกเงาบานนี้กลับไม่สะท้อนภาพของพ่อเขาเลยแม้แต่น้อย โชคดีแล้วที่ตัวอย่างบิดเบี้ยวเกินเยียวยาไม่มีโอกาสได้เป็นพ่อแม่ใคร พี่ชายได้แต่แสยะยิ้มสังเวชใจ เข้าไปตบบ่าตบไหล่คนที่ทำตัวเป็นไม้เบื่อไม้เมากับตน
“สมน้ำหน้าเหมือนกัน”
เขาเดินจากไปทิ้งคนข้างหลังให้ฉงน
“นิสัยไม่ดี”
ปานปรารถนาเงยหน้าจ้องพี่ชายคนรองตาแข็ง ตามมาด้วยเสียงเอ็ดจากคนเป็นแม่ อนิรุจมองหน้าผู้จัดการ ฝ่ายนั้นจึงรีบพาเด็กหญิงไปหาอาปพล
ผังครอบครัวเขาออกจะยุ่งเหยิง ปพลเพื่อนสนิทของภรรยาทั้งยังเป็นน้องชายแม่เลี้ยงเขา ทั้งเขากับปารวีเคยรักกันมาก่อน หล่อนเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่รู้ภายหลังที่คุณนางราม มารดาเขาเสียชีวิตว่าหล่อนเป็นอนุของพ่อเขามานาน
เขาจึงย้ายไปเรียนอีกสาขาเพื่อหนีหน้าหล่อน และหันมาเอาดีเป็นพ่อพิมพ์ของชาติ ในขณะที่หล่อนก้าวเข้ามาเป็นภรรยาตามกฎหมายของนายพลอดิศวร ให้กำเนิดปรัชญาและปานปรารถนา แปดปีต่อมาท่านได้ลาโลกนี้ไป โดยทิ้งพินัยกรรมน่าหนักใจไว้ให้
เขาต้องแต่งงานและมีลูกถูกต้องตามกฎหมายภายในสองปี
ถ้าหย่าก่อนก็ให้ถือว่าทรัพย์สมบัติทุกอย่างตกเป็นของปารวี
แม้เรื่องระหว่างเขากับแม่เลี้ยงยังสาวจะจบไปนานแล้ว แต่พ่อที่ระแคะระคายมานานพอสมควร คงกลัวว่าหากท่านตายเขากับหล่อนจะกลับมาคบกันอีก เลยตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยเงื่อนไขที่เขาต้องลากมัสลินเข้ามาเกี่ยวข้อง
“ยายจะให้มัสแต่งงานกับพี่อินน์เหรอ”
กลับมาไม่ทันหายเหนื่อยบัณฑิตหมาด ๆ ก็เจอเรื่องไม่คาดฝัน มือที่ถือช่อดอกไม้แสดงความยินดีร่วงตกอยู่ข้างตัว อนิรุจหน้าไม่ยินดียินร้าย แต่เขาเตรียมการอย่างดีเพราะมีนายทะเบียนนั่งอยู่ข้างกัน
“อื้อ”
ยายตาลวัยย่างแปดสิบยินยอมเป็นที่เรียบร้อย เขาอดที่จะลอบสังเกตมัสลินไม่ได้ เด็กตีนเท่าฝาหอยเมื่อยี่สิบปีก่อนโตเป็นสาวสวยสะพรั่ง ดวงหน้าเรียวรีได้รูปขาวกระจ่างใส ยิ่งแต่งแต้มเครื่องสำอางจัดจ้านยิ่งน่ามอง ปากนิดจมูกหน่อยสวยพอดิบพอดีแบบจับวาง ตาคมกลมโตชวนให้คนเผลอจ้องถูกดึงดูดจนยากจะถอนตัว
“แกเองก็ไม่ได้รังเกียจพี่เขาไม่ใช่เหรอนังมัส เรียนก็จบแล้ว แต่งกับพี่เขาก็ไม่เสียหาย”
“ว่าไปยาย” มัสลินตั้งสติได้ก็แย้ง “เราเจอกันไม่ถึงสิบครั้งด้วยซ้ำนะจ๊ะ”
เขาเห็นเธอมาตั้งแต่ตั้งไข่ก็จริง แต่พอท่านนายพลแต่งงานใหม่เขาก็กลับบ้านบ้างไม่กลับบ้าง ไม่มีเวลาให้ทำความรู้จัก มานึกพิศวาสกันตั้งแต่เมื่อไร
เมื่อเห็นท่าจะยาวอนิรุจจึงขอตัวออกไปรอนอกบ้าน ปล่อยให้สองยายหลานตกลงกันให้เรียบร้อย เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจชั่วข้ามคืน แต่เขาก็ขอเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน ไม่กี่นาทีต่อมาหญิงสาวก็ประคองยายตาลลงบันไดมาหาที่ใต้ถุนด้วยตาแดง ๆ และท่าทางยอมจำนน
“ยายเล่าเรื่องพินัยกรรมของพ่อพี่แล้ว”
“อือ” เขาจะได้ไม่ต้องอธิบายยืดเยื้อ
“มัสจะต้องมีลูกกับพี่ด้วยเหรอ?”
“ใช่”
มัสลินก้มหน้าเศร้า ใช่ว่าเธอรังเกียจเขา ออกจะปลื้มด้วยซ้ำ ยังเคยขโมยรูปถ่ายเขามาไว้ใต้หมอน นอนหลับก็ยังฝันว่าได้เป็นของกันและกันเลย แต่เธอไม่อยากให้ความสัมพันธ์ก้าวกระโดด แถมยังรู้สึกไม่ต่างกับเป็น ‘แม่พันธุ์’
“เป็นคนอื่นไม่ได้เหรอ?”
“ผมเลือกมัส”
“ทำไม?”
“ไม่มีเหตุผล” เขาไหวไหล่
มัสลินเป็นลูกสาวอดีตคนสนิทท่านนายพล พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่หกขวบ ท่านกับภรรยาคนแรกรักเธอเหมือนลูกหลาน ภรรยาคนที่สองที่แม้จะดูร้าย แต่เธอว่าง่ายหล่อนจึงเอ็นดูเหมือนน้องนุ่ง ทั้งยังเล็งให้น้องชายหัวแก้วหัวแหวน อนิรุจอยากปาดหน้าเค้กของเด็กหนุ่มที่เขาจงเกลียดจงชัง และจะทำให้หล่อนเสียหน้าที่พยายามเสนอตัวให้แต่เขากลับเลือกเด็กธรรมดาอย่างมัสลิน
“มันต้องมีสิพี่ อู้ย...”
“พูดมากน่านังมัส” ยายตาลบิดเนื้อจนคนพูดมากเกาแขนยิก ๆ
บ้านหลังนี้ติดจำนองกับท่านนายพลตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ยายตาลอยากไถ่คืนเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายให้หลานนำไปต่อยอด แถมรับเงินส่วนต่างมาอีกจำนวนหนึ่ง ที่สำคัญมีคนดี ๆ มาดูแลหลาน คนเป็นยายก็นอนตายตาหลับ
“มัสจะแต่งกับผมใช่ไหม”
น้ำเสียงของเขาหวานขึ้นนิด อ้อนวอนขึ้นมาหน่อย มัสลินที่เผลอจ้องตาคมคล้ายตกอยู่ในภวังค์จนยายต้องสะกิด
“ไม่แต่งก็ไม่ได้แล้วนี่คะ”
แมงเม่าตัวน้อยกลืนน้ำลายลงคอ กองไฟร้อนแรงยั่วยวนให้ถลำตัวถลำใจ หนึ่งวันหลังจรดปากกาลงในทะเบียนสมรสเขาพามัสลินไปตรวจร่างกายพร้อมปรึกษาหมอเรื่องลูกเสร็จสรรพจึงพาเธอเข้ามาอยู่วิลลาในคืนวันเดียวกัน
ตั้งแต่เขารับช่วงต่อจากบิดา ชายหนุ่มนำสไตล์ทรอปิคัล (Tropical) มาผสมผสานกับสไตล์ดั้งเดิมของโรงแรม ห้องนอนของเขาตกแต่งโดยใช้สีขาวสลับกับสีน้ำตาลเข้มของไม้ ให้ความรู้สึกอบอุ่นแต่ทรงพลัง ส่วนที่ทำตัวไม่ถูกก็ใช่ว่าไม่เคยเข้ามาเพราะเธอมักมาช่วยป้าสมรทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ หากไม่ชินกับสถานะใหม่มากกว่า
“เข้ามาสิ”
อนิรุจคลายเนกไทอยู่ในห้องนอน มัสลินทำเหมือนกลัวเขา เธอคงไม่ไร้เดียงสาถึงขนาดไม่เคยนอนกับใครหรอกนะ
ด้านหญิงสาวก็วางเป้สีส้มคู่ใจไว้ที่โซฟาแล้วเดินเข้าไป วันนี้มีแววว่าจะเสียตัวตั้งแต่คืนแรก แต่เธอมีทะเบียนสมรสแล้วนี่นา มัสลินบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรน่ากลัว
ชายหนุ่มขยับเข้าไปจับไหล่บางพลางมองดวงหน้ากระจ่างใส ปัดผมปอยหวานทัดหูให้แล้วใช้หลังมือเกลี่ยผิวแก้มนวลแผ่วเบา
“พร้อมไหม?”
นิ้วโป้งนุ่มสัมผัสริมฝีปากสวยอ้อยอิ่งพากระแสร้อนวูบวาบไหลพล่านทั่วกายสาว เด็กน้อยในวันวานเอียงหน้าซบฝ่ามือเขา รู้สึกเหมือนฝันที่ได้มีเขาอยู่เคียงข้างกัน
“ถ้ามัสบอกว่าไม่พร้อมล่ะ”
ดวงตากลมเปล่งประกายหยอกเย้า หากความจริงเธอประหม่าแต่ก็แค่ทำใจดีสู้เสือเท่านั้นเอง
“ต้องพร้อม”
สีหน้าเขายังคงเดายากแต่กลับกระชับเอวกิ่วแนบชิดจนสัมผัสถึงความร้อนระอุของกันและกัน มัสลินเกิดความประหวั่น หากเขาคิดว่าเธอเจนจัดเรื่องอย่างว่าจนไม่ออมแรงให้ละก็มันจะเป็นอย่างไร เพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่าครั้งแรกของพวกหล่อนก็สาหัสเอาการ
“มัสยังไม่เคยนะพี่” เขาหรี่ตาลงแต่ก็แค่แวบเดียว
เพราะเรื่องพรรค์นี้มันไม่สำคัญเขาจึงไม่เคยถาม ผู้หญิงหลายคนถึงคิดว่าเขาดูไม่ออก แต่มัสลินจะพูดจริงหรือไม่คืนนี้คงได้พิสูจน์กัน
อนิรุจเชยคางสวยให้เผยอขึ้นรับจุมพิตปลุกเร้า มัสลินตอบรับจุมพิตแบบไม่ประสีประสาเขาเลยใคร่จะทำให้เจ้าหล่อนเผยสิ่งที่ซ่อนไว้ออกมา จึงบดเคล้ากลีบปากนุ่มอย่างเร่าร้อน ชอนไชปลายลิ้นแฉะเพื่อควานลึกในช่องปากเล็ก ดูดดื่มความหวานทุกหยาดหยดราวกับภมรหนุ่มเหือดกระหาย ตามติดชิดใกล้เมื่อเธอพยายามผละจากเพราะต้องการอากาศหายใจ เธอเองก็เพิ่งรู้ว่าคนเราอาจตายเพราะจูบกันได้ก็วันนี้นี่เอง
เขาปล่อยให้เธอได้หายใจแล้วกระหวัดร่างสวยไปกดลงบนที่นอนนุ่ม หญิงสาวตาเบิกโพลงหัวใจเต้นรัว กระดุมสองเม็ดที่ปลดออก กับทรงผมที่เสียทรงและใบหน้าเขาเมื่อมองย้อนแสงไฟทั้งดุดันและแข็งกระด้าง ช่างต่างกับภาพลักษณ์สุขุมนุ่มลึกโดยสิ้นเชิง
“ต้องใส่ถุงยางไหม?”
เขาชะงักนิดหนึ่งแล้วถามกลับ “ถ้าใส่แล้วจะมีลูกกันยังไง?”
“นั่นสิ” คนใต้ร่างยิ้มแหย ที่จริงไม่คิดว่าจะต้องใส่ เพียงคิดว่าถ้ามีบทสนทนาก่อนเผด็จศึกคงจะไม่เกร็ง “พี่จะเอาเลยเหรอคะ”
เขาไม่ตอบคำถามแต่รวบสองแขนเรียวขึ้นเหนือศีรษะ ดึงเสื้อ โอเวอร์ไซส์ที่เธอสวมใส่ออกง่ายดาย เธอรีบยกมือปิดหน้าอกทั้งที่หน้าแดงปลั่ง เลือดในกายสูบฉีดรุนแรงแถมยังอายจนอยากแทรกที่นอนหนี
“ทำไมล่ะ”
“มันเล็ก”
เธอตอบเสียงหงอย เขานึกเอ็นดูผู้หญิงคนนี้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวขณะดึงมือเธอออกแล้วกดไว้ข้างศีรษะเล็ก มองหน้าอกขนาดเท่าคัพเค้กพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
“ก็ไม่ได้แย่นี่นา”
แต่ไม่ได้แปลว่าดี เธอรู้ว่าผู้ชายชอบแบบเนื้อนมไข่มากกว่า มันจึงถือเป็นคำปลอบที่ไม่เหมือนปลอบเท่าไร
“ถ้ามัสอยากอัปไซส์ ผมพาไปทำได้”
“ให้เงินหรือเปล่าคะ?”
“อือ” เขาต้องเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างเกี่ยวกับเธออยู่แล้ว ทำให้มัสลินพอมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง
“ข้างละสี่ร้อยซีซีเลยเป็นไง” เธอถาม
มุมปากหยักของผู้ใช้งานกระตุกยิ้ม ผู้หญิงหลายคนจริงจังเรื่องขนาดหน้าอกแต่เขามองว่ามันไม่จำเป็น กับมัสลินถึงแม้จะเล็กกว่าอุ้งมือเขาเล็กน้อย แต่ก็พอดีสำหรับตัวแค่นี้
“มัสจะเอามาตบหน้าผมเหรอ?”
“มะ... ไม่ใช่”
มัสลินไปไม่เป็น เห็นเขามาดนิ่ง ๆ ทว่าปากร้ายใช่ย่อย แต่ก็รู้แล้วว่าผู้ใช้งานไม่ได้ต้องการใหญ่ขนาดนั้น ด้านอนิรุจยิ้มในหน้าก่อนปลดบราเซียเปิดเปลือยทรวงอกขาวโพลนเล่นเอาเขาครางเสียงต่ำในลำคอ หวังว่าเธอคงรู้ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ทำให้เขามีอารมณ์ได้ไม่ต่างกัน
ชายหนุ่มทาบฝ่ามือลงกับคัพเค้กนุ่มละมุน หญิงสาวสะท้านกับสัมผัสแปลกใหม่แต่ไม่นานก็เคลิบเคลิ้มไปกับการเคลื่อนไหวเอาอกเอาใจ ปลายนิ้วเขาบีบเคล้นยอดถันสีน้ำตาลอ่อนขณะบดเคล้าเต้าเต่งตึง พลางใช้ปากครอบครองยอดดอกบัวอีกข้างและดูดดึงจนแก้มตอบ พร้อมแทรกขาเข้ามาระหว่างสองขาเรียวเพื่อให้เข่าเสียดสีกับรอยแยกกลางกาย
มัสลินร้อนวูบวาบไปทั้งตัว หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกโพรงอก ความรู้สึกแปลก ๆ จากจุดอ่อนไหวส่งผ่านทั่วสรรค์พางกาย ยิ่งเมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวลามไล้จากเต้างามเรื่อยไปจนแวะทักทายแอ่งเว้ากลางลำตัวด้วยปลายลิ้นฉ่ำ หญิงสาวก็แทบจะลืมหายใจ สองมือขยุ้มผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่น แอ่นหยัดร่างกายเข้าหาสัมผัสวาบหวาม บดเบียดดอกไม้งามเข้ากับปลายเข่าที่เขาจงใจกดเน้นผ่านกางเกงยีนส์ตรงหว่างขา
มือข้างหนึ่งของอนิรุจละจากทรวงอกนุ่มลงมาสอดใต้กระดุมกางเกงยีนส์ของมัสลิน คืบคลานไปถึงจุดหวงห้าม รุกล้ำลงไปใต้เนื้อผ้าด้านในเพื่อกอบกุมเนื้อสาวโหนกนูน ฝ่ามือสัมผัสความนุ่มลื่นดุจแพรไหมของกลุ่มขนที่ปกคลุม เล่นเอาเจ้าตัวสะดุ้งเฮือกและเด้งตัวลุกขึ้นอัตโนมัติ
เขาไม่แปลกใจกับท่าทางไม่ประสีประสา เท่าที่ผ่านมามีคู่นอนหลายคนพยายามทำแบบเดียวกัน แต่เขาก็เล่นตามน้ำเธอจึงถูกมืออีกข้างกดไหล่ให้นอนราบแล้วปลอบโยนด้วยจุมพิตเร่าร้อน ใช้เข่าเปิดอ้าขาเล็กให้ต้อนรับนิ้วช่ำชองที่ซอนแทรกเข้าไปกลางกลีบผกาได้ถนัดถนี่ นิ้วกลางกับนิ้วชี้เคล้นคลึงติ่งสวาทแผ่วเบา ความร้อนระอุที่ฝ่ามือรับรู้ทำให้ความเป็นชายของเขาที่อดอยากปากแห้งมาเกือบเดือนแข็งขึงรวดร้าว
มัสลินตัวเกร็งอยู่ใต้ร่างเขา ขณะที่กลีบเนื้อของเธอก็แฉะชื้นพร้อมรับมือกับเขาแล้วเช่นกัน เขาจึงผละออกจากเรียวปากหอมหวานดันกายขึ้นนั่งข้างสะโพกเธอแล้วปลดกางเกงยีนส์ออกจากร่างกึ่งเปลือย เธอกัดริมฝีปากด้านในพลางมองสามีหมาด ๆ ด้วยดวงตาฉ่ำหวาน ทั้งจูบและสัมผัสของเขาทำให้สมองเธอว่างเปล่าคล้ายถูกมอมเมาด้วยเหล้าชั้นดี
“อุ๊ย! อะไรคะ?”
มัสลินตกใจเมื่อจู่ ๆ อนิรุจก็เปลี่ยนมารวบแขนทั้งสองข้าง แต่เขาไม่ตอบคำถามกลับใช้เข็มขัดพันรอบข้อมือแล้วมัดเอาไว้กับเสาไม้สักกลึงลายลูกฟูกตรงหัวเตียง
“มะ... มัดทำไมคะ? มัสทำอะไรผิดเหรอ?” เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
สายตาที่เธอมองเขาเมื่อกี้มันทั้งโหยหา ปรารถนา และยั่วยุเขาได้ในแบบที่เธอเองก็คงจะไม่เข้าใจ และกลัวว่ามือไม้ของเธอสัมผัสโดนร่างกายเขามากไปกว่านี้เขาจะหมดความอดทนแล้วล่มปากอ่าว ทำให้เขาอยากจับเธอมัดเอาไว้ แต่ไม่ใช่เพื่อควบคุม
เขาอยากทำให้คืนแรกของการแต่งงานนั้นน่าจดจำ อยากแสดงให้เธอเห็นว่าเขาจะครอบครองเธออย่างสิ้นเชิงสักเพียงใด
“มัสไม่ผิดหรอก มันผิดที่ผม” เขาอดอยากมานานเกินไป
ชายหนุ่มดึงกางเกงยีนส์ออกจากร่างกายสาวอย่างรวดเร็วก่อนจัดการตัวเองให้เปลือยล่อนจ้อนตามเธอในไม่ช้า
มัสลินหนีบขาปกปิดจุดอ่อนไหว ก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าแดงก่ำเพราะเขินอาย แต่เมื่อเห็นความเป็นชายใหญ่โตที่ผงาดท้าสายตากลับตาลุกวาว ตกตะลึงกับขนาดมหึมาจนเผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
คนโดนจ้องของรักรู้สึกรวดร้าวยิ่งกว่าที่เป็น ทั้งท่าทางเอียงอายกระมิดกระเมี้ยน ทั้งสายตาปลุกเร้าที่เล่นเอาเขาเกือบตั้งสติไม่ไหว ไหนจะการที่เลียริมฝีบากแบบนั้นอีก
เขาไม่ได้รู้สึกถูกกระตุ้นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้...
“...ผิดที่ผมเอง”
มัสลินไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด แต่เพราะชายหนุ่มไม่ได้มีท่าทีคุกคามหรือมุ่งร้าย เว้นแต่จะเกรี้ยวกราดกับจุดอ่อนไหวของเธอด้วยกลีบปากร้อนระอุและเรียวลิ้นแฉะชุ่มจนเธอต้องกรีดร้องไม่เป็นภาษา พยายามกระถดหนีแต่เขากลับรุกไล่ ตามติดจนเธอหมดหนทาง
มือสองข้างของเขาดันต้นขาเธอขึ้นมาจนเต้างามแนบชิดกับเข่า ความรู้สึกวาบหวามที่เพิ่งเคยได้รู้จักทำให้มัสลินดิ้นเร่า ทั้งเสียวซ่านและสั่นสะท้านจนร่างกายบิดเกร็ง ลิ้นร้อนของอนิรุจนั้นซอกซอนลึกล้ำจนเกิดเสียงดังสวบสาบ หากก็เป็นเสียงที่ไม่น่าเกลียดเลยสักนิดในความรู้สึกของเธอ
“พะ... พี่อินน์ ตะ... ต้องทำอะไรแบบนี้ด้วยเหรอคะ”
เสียงหวานแหบพร่า ดวงตาหลับพริ้มในระหว่างที่เขาเกร็งลิ้นแล้วจ้วงลึกเข้ามาในกาย ดอกไม้งามตอดรัดความอ่อนนุ่มนั้นพร้อมกันนั้นก็พรั่งพรูของเหลวลื่นใสออกมาเป็นรางวัลให้เขาดื่มชิม
อนิรุจครางตอบขณะดูดดึงปุ่มกระสันจนมัสลินที่ไม่คุ้นเคยพยายามผลักศีรษะเขาออก เขาแปลกใจแต่ไม่ยอมถอย บดขยี้ติ่งสาวอย่างเมามันในอารมณ์จนเธอดิ้นรนเพราะถึงจุดสุดยอดอย่างอับจน
คนตัวใหญ่ผละจากดอกไม้หอมหวาน ช้อนสะโพกงามงอนมาวางบนหน้าขา จัดการฝากฝังแก่นกายเสือกพรวดเข้าไปในโพรงสวาทจนมิดลำ
“อ๊ะ!!! เจ็บ ๆ อะ... ออกไปก่อนค่ะพี่”
หญิงสาวนิ่วหน้าร่างกายงอก่องอขิง วินาทีนั้นเขาได้คำตอบของเรื่องที่เขากำลังพิสูจน์ เขาถอดตัวตนออกแทบในทันที แม้เขาจะไม่ได้แสดงอาการตกใจแต่ก็ตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
หลายอย่างที่เขาคิดไว้อาจจะเปลี่ยนไปถ้านี่เป็นครั้งแรกของมัสลิน
เขาพรูลมหายใจออกมาเหลือบสายตามองร่างขาวโพลน มัสลินก้มหน้าหลบสายตา แม้พวงแก้มสีแดงเรื่อทำให้เขาอยากกระโจนขย้ำเธอเสียเดี๋ยวนั้นหากก็จำต้องปลดปล่อยหญิงสาวออกจากพันธนาการ
มัสลินเกาแขนยิก ๆ ขณะที่อนิรุจเข้ามาโอบประคองสองไหล่บาง ให้ร่างเล็กนั่งอยู่กลางหว่างขา ท่าทางที่อ่อนโยนกว่าเมื่อครู่ยิ่งเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจให้เธอมากขึ้นอีก
เขาชันเข่าข้างหนึ่งแล้วยกขาเธอขึ้นไปเกี่ยวพาดเอาไว้ แท่งเอ็นชูชันถูไถอยู่ด้านหลังสะโพกกลมกลึงเล่นเอาเหงื่อเม็ดโตผุดพรายตามใบหน้าใส หากเธอก็เอนหลังพิงอกกว้างยอมให้เขาดึงมือไปกำรอบความเป็นชายขนาดมหึมาที่ขยายใหญ่สู้มือเสียจนคนอ่อนหัดหายใจติดขัด
“ขยับขึ้นลงแบบนี้”
มัสลินทำตามอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มคำรามในลำคอใบหน้าแหงนหงายจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนที่ลำคอชัดเจน เสียวกระสันจนต้องขบกรามแน่น ท่อนเนื้อทรงพลังผงาดกล้าในอุ้งมือเธอ
“รู้สึกดีไหมคะ”
“อืม”
ฝ่ามือชายลูบไล้ผ่านชายโครงมาวนไล้กับทรวงอก นิ้วเรียวปัดผ่านเม็ดทับทิมที่แข็งเป็นตุ่มไต ส่วนมืออีกข้างเลื่อนต่ำลงไปคลี่กลีบดอกไม้กลางกายแล้วบดบี้อ้อยอิ่ง
“เรามาคุยกันก่อน... สาวน้อย” มัสลินสะท้านไปทั้งตัว
ความเสียวซ่านบิดเกลียวท้องราวกับเทียนไขที่กำลังละลายเพราะเปลวเพลิง เขาประคองให้ใบหน้าเธอแหงนขึ้นมาแล้วมอบจุมพิตแสนหวาน หากแต่ซ่อนยาพิษเอาไว้ในคำพูดต่อมา
“ตามที่ตกลงกันว่าผมจะปล่อยมัสไป”
หัวใจของมัสลินสะท้านไหว แต่ในวินาทีต่อมาก็ต้องร้องเสียงแหบพร่าเมื่อเขากดนิ้วแกร่งเข้ามาในโพรงรัก
“ผมอยากให้มัสจำให้ขึ้นใจเลยว่าเราไม่ได้แต่งงานกันเพราะความรัก”
“อือ” สัมผัสจากนิ้วใหญ่เจ็บจุกน้อยกว่าตอนที่เขาแทงพรวดเจ้าสิ่งนั้นเข้ามา ทว่าตอนนี้หัวใจเธอมันเหมือนจะเจ็บกว่า
“ที่เรานอนด้วยกันก็เพื่อจะมีลูกแค่นั้น... เพราะงั้นมัสห้ามรักผมเด็ดขาด ผมเองก็คงไม่มีวันรักมัสเหมือนกัน”
เขารัวนิ้วเข้าออกในช่องรักรัวเร็วจนเธอรับมือกับสัมผัสวาบหวามแทบจะไม่ไหว แต่น่าแปลกที่น้ำตาเธอทำท่าว่าจะไหล ไม่ใช่กับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้สัมผัส
“เข้าใจค่ะ อ๊าส์!”
สมองของมัสลินว่างเปล่าไปชั่ววินาทีหนึ่งเมื่อเขาส่งเธอจนถึงปลายทางสวรรค์ แต่ในใจนั้นเต็มไปด้วยความสับสน ร่างกายมีความสุขเหตุใดหัวใจถึงได้ร้องไห้
“ครบสองปีเมื่อไหร่ ผมจะปล่อยมัสเป็นอิสระ”
วันนี้เขาย้ำเรื่องนี้เป็นรอบที่สาม เธอไม่อยากคิดมากให้เปลืองสมอง เพราะแอบหวังว่าเวลาตั้งสองปีคงจะเปลี่ยนใจเขาให้รักกันได้ไม่ยาก แต่ความชัดเจนนี้ได้ลดทอนความมั่นใจของเธอไปเกือบครึ่ง
“ส่วนลูกของเราผมจะดูแลเอง ผมจะไม่ให้เด็กที่เกิดจากข้อตกลงนี้ทำให้ชีวิตมัสหลังจากนั้นต้องวุ่นวาย ระหว่างนี้มัสจะไปที่ไหน คบกับใครก็ได้ตามใจมัสผมไม่ว่า ถ้าเขาเป็นคนดีผมเองก็จะสนับสนุน ผมไม่อยากลิดรอนสิทธิเสรีภาพของมัสไปมากกว่านี้อีกแล้ว แต่ขออย่างเดียวห้ามไปยุ่งกับนายปพล”
ใจนี้เจ็บเมื่อเขาทำเหมือนจะไม่หึงไม่หวง และพร้อมประเคนเธอให้ใครก็ได้ แต่ก็ไม่เข้าใจทำไมต้องกีดกันเธอกับเพื่อนรัก
“ทำไมคะ?”
“ผมเกลียดมัน เหตุผลง่าย ๆ และผมหวังว่ามัสจะให้ความสำคัญกับคำขอของผม”
เขาก็รู้ว่ากลุ่มเธอมีด้วยกันสี่คน คือเธอ ปพล ลินนา และปิ่นเกสร ซึ่งนับตั้งแต่ปิ่นเกสรเครียดเรื่องเรียนจนคิดสั้น เพื่อนที่เหลือต่างก็ตกอยู่ในความโศกเศร้า แล้วถ้าเป็นไปได้เธอก็ไม่อยากเสียใครไปอีก
แต่อนิรุจจะใช้สิทธิ์ความเป็นสามีบังคับให้เธอเลิกคบกับเพื่อนไปทีละคนเพียงเพราะเขา‘เกลียด’ อย่างนั้นหรือ
“พี่ไม่มีเหตุผลเลยอะ”
“มัสมีหน้าที่ทำตามคำสั่งผมก็พอ”
เขาพลิกกายขาวลงกับที่นอน ขึ้นคร่อมแล้วยกขาเรียวพาดบ่า จรดปลายความเป็นชายลงกับปากถ้ำคับแคบ ออกแรงดุนดันเข้าไปในกายสาวเชื่องช้า ระวังอย่างมากที่จะไม่ทำให้คนใต้ร่างเจ็บปวดหรืออึดอัด แต่ขนาดใหญ่เกินมาตรฐานของเขามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
มัสลินปล่อยให้น้ำตากลิ้งลงจากหางตา นี่สินะความอันตรายของกองไฟ แมงเม่าอย่างเธอจะทนได้สักกี่น้ำกัน
