บทที่ 2 1
“อา...”
เสียงคำรามดุดันหลุดออกมาจากลำคอแกร่งในจังหวะที่ตะวันถาโถมแรงกำลังทั้งหมดเข้าสู่ร่างกายบอบบางขาวโพลน
“หมอคะ งาม... เจ็บ”
ฟ้างามครวญครางเสียงแหบ ดวงหน้าหวานเหยเกอย่างสุดแสนทรมาน มือทั้งสองข้างพันธนาการรั้งกับเสาหัวเตียงด้วยริบบิ้นผ้าสีแดงเข้ม เพลิงสวาทของตะวันก่อตัวขึ้นตั้งแต่หัวค่ำจนตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าเขาจะหมดแรง
“หมอตะวัน...”
กระถดตัวหนีคนตัวใหญ่ แต่กลายเป็นว่ายิ่งใช้สองขายันที่นอนเพื่อหนีเขามากแค่ไหนมันก็เปิดทางให้เขารุกรานได้ลึกล้ำมากเท่านั้น และยิ่งส่งเสียงร้องออกไปแค่ไหนกลับได้รับความป่าเถื่อนดุดันกลับมามากเท่านั้น
“พะ... พอก่อน”
ร่างสวยบิดเร่าใต้กายหนา ตะวันสอดมือยกแผ่นหลังหล่อนขึ้น ขาหนักสอดรองใต้สะโพกมน สร้างท่วงท่าที่ช่วยให้เขาปฏิบัติกามกิจได้ถนัดถนี่ ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะผละออกจากเอวคอด จับปลายคางงาม บังคับให้คนตัวน้อยมองตรงมาที่เขา
“ลืมตาขึ้นมองฉัน”
น้ำเสียงดุดันน่ากลัวบังคับให้ฟ้างามจ้องใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเกาะวาว แววตาของเขาบ่งบอกว่าเขาอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่
ก็ไม่รู้วันนี้ไปเจอเรื่องอะไรมาถึงได้ระบายใส่กันไม่ยั้งแบบนี้
หากย้อนเวลากลับไปเมื่อสามชั่วโมงก่อนได้ ฟ้างามจะไม่ออกมาที่หน้าบ้านตัวเองเพียงเพราะเห็นใครมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ เธอไม่คิดว่าจะถูกตะวันฉุดมาที่บ้านพักในไร่ของเขา เพราะปกติเขาจะนัดเจอกันที่ไหนสักแห่งแล้วค่อยพามา
“ครางชื่อฉันดัง ๆ”
ฟ้างามเม้มปากสนิทเมื่อเขาสั่ง สิ่งที่เขาต้องการฟังมันสวนทางกับความรู้สึกของเธอที่อยากร้องไห้... แต่ด้วยความกลัว เธอเลยกลั้นใจพูดมันออกไป
“คุณตะวัน”
“ดังอีก!”
ร่างหนาโจนจ้วงเข้ามาในกายบางอย่างไม่ลดละ ความเสียวซ่านบิดเกลียวท้องไส้เขาทุกขณะที่เธอเปล่งเสียงออกมา แต่ครานี้เธอไม่สามารถเอ่ยคำใดได้อีกแล้ว เพราะทั้งเจ็บและจุกจนแม้แต่จะหายใจยังคิดว่ายากเกินไป ในใจเต็มไปด้วยความโกรธ น้อยใจ และผิดหวัง ซึ่งมันอัดแน่นมานานแสนนาน
ตะวันเห็นเธอเป็นแค่ที่ระบาย ไม่เคยคิดเป็นอื่น…
ส่วนเธอ เมื่อก่อนเคยรักเขามากแค่ไหน เวลาผ่านไปก็ยังรักมากอยู่อย่างนั้น แม้จะตัดสินใจไปเรียนต่อถึงออสเตรเลียด้วยหวังจะลืมเขาไปจากใจ ทว่าสุดท้ายก็ทำไม่ได้อยู่ดี
“โอ...”
ชายหนุ่มส่งเสียงร้อง ใบหน้าแหงนหงายเมื่อร่างกายไต่แตะไปถึงจุดไคลแม็กซ์ ก่อนจะปลดปล่อยน้ำรักเหนียวข้นออกมาเอ่อขังอยู่ในเยื่อบาง ๆ ของถุงยางอนามัยชนิดผิวสัมผัสพิเศษที่เลือกใช้โดยไม่ปรึกษาเธอสักคำ เขาเคยรู้บ้างหรือเปล่าว่ามันทำให้เธอเจ็บมากกว่าที่เคยรับมือไหว
ในตอนที่ชายหนุ่มถอดถอนแก่นกายออกไป ฟ้างามก็อดไม่ได้ที่จะต่อว่าเขาด้วยเสียงแผ่วเบาเจือสะอื้น
“คุณนี่มันเกินไปจริง ๆ”
คนที่ลุกขึ้นจัดการกับเยื่อบาง ๆ ที่ห่อหุ้มความเป็นชายอยู่นั้นปรายตาหยามหยันมองกลับมา แต่พอเห็นสภาพอิดโรยนั่นแล้ว ก็แสยะยิ้มเยาะเย้ยให้
“เธอไม่เสร็จหรือไง?”
มันไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย!
แต่เพราะเขาเอาแต่ใจมากเกินไปจนทำให้เธอรู้สึกไม่ดี ตอนนี้เธอทั้งเสียใจทั้งอับอาย น้ำตามันก็เลยไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ตะวันยิ้มมุมปาก รู้ว่าเธอไม่พอใจเรื่องไหน แต่ทำไมต้องสนใจ ฟ้างามไม่ใช่คนที่เขาอยากทะนุถนอม เธอก็แค่ของเล่นในลังเก่าที่รอวันให้เขาเอาออกไปโยนทิ้ง
เขาเดินอ้อมมาหยิบมือถือที่วางไว้บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาเลื่อนดู ก่อนที่คิ้วหนาจะขมวดยุ่งเพราะเขาเฝ้ารอการติดต่อจากใครบางคนอยู่ แต่แล้วก็ยิ้มออกเมื่อจังหวะนั้นมีสายเรียกเข้าจากคนที่เขาต้องการ
“ทำไมไม่รับสายล่ะแคลร์”
นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาหงุดหงิดจนมาลงกับเธอ เพราะแม่คุณแคลร์อะไรนั่นคนเดียวแท้ ๆ เธอถึงมีสภาพนี้ แต่จะไปโทษหล่อนคงไม่ได้ ในเมื่อเธอยอมมากับเขาเองแถมยังยอมทุกอย่างที่เขาต้องการ
ฟ้างามหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เพราะตะวันออกไปคุยโทรศัพท์กับคนของใจอยู่ตรงระเบียงไม่ยอมแก้มัดที่แขนให้ ซ้ำยังไม่รู้ว่าอีกสักพักจะต้องรับมือกับอะไร อย่างนั้นก็พักเอาแรงสักหน่อยแล้วกัน
ทว่าตาหลับแล้วหัวใจกลับไม่สงบ มันร้อนรุ่มตลอดเวลาที่ได้ยินเขาพูดคุยอี๋อ๋อกับคนในสาย
แคลร์ คือชื่อเล่นของคลาริสา เพื่อนสนิทที่ตะวันแอบคิดไม่ซื่อมานานแสนนาน ฟ้างามพอรู้ว่าคนทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก ก่อนที่มารดาเขาจะหนีไปเสียด้วยซ้ำ
ตอนนี้คลาริสาได้กลายมาเป็นความรักความหวังของเขา... แต่ถึงรู้อย่างนั้นฟ้างามก็ยังไม่เลิกรักเขา
เธอยังคงเจ็บปวดเพราะความหวังว่าสักวันตะวันจะเมตตาเธอบ้าง ไม่ได้อยากเป็นคนที่เขารักหรอกนะ เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ขอแค่เขาไม่เกลียดเธอเท่านี้มันก็มากเกินพอ
ซึ่งเธอก็ไม่รู้จะต้องพยายามอีกมากเท่าไหร่ ต้องเสียใจอีกสักกี่ครั้งมันถึงจะพอ
ความเศร้าพาให้น้ำตาอุ่นจัดหยดแล้วหยดเล่าไหลออกมาที่หางตา ตอนนี้เธอเข้าใจดีว่าสถานะตัวเองคืออะไรและอย่าได้คิดจะเรียกร้อง
“หยุดสำออยสักทีได้ไหม!”
เสียงของตะวันดังใกล้ ๆ พร้อมกับที่เธอรู้สึกได้ถึงแรงยวบที่ปลายเตียง เสียงสะอื้นที่คิดว่าแผ่วเบาเหลือเกินเป็นต้องชะงักไป ในจังหวะนั้นมือที่แข็งแรงราวกับคีมเหล็กของเขาก็ตะปบเข้าที่ปลายคางแล้วบีบกระพุ้งแก้มของเธอแรง ๆ
“ฉันรำคาญ”
ฟ้างามสั่นไปทั้งตัว ตอนนี้เธอทั้งโกรธเขา แล้วก็อยากอ้อนวอนให้เขาเห็นใจ ความรู้สึกหลายอย่างมีผสมปนเปกันไปหมด
“จ้องแบบนี้หมายความว่าไง” ตะวันกระชากเสียงถาม
“...”
“หรืออยากโดนอีก”
“ไม่ค่ะ”
เธอสะบัดหน้าหนีทันทีที่เขาฉกใบหน้าลงมา เขาเลยเปลี่ยนใจใช้ปลายจมูกเกลี่ยไล้ไปตามผิวแก้มชื้นเหงื่อของเธออย่างอ้อยอิ่ง ฟ้างามพยายามเอียงหนี มือทั้งสองกำหมัดแน่นแล้วก็เกร็งไปทั้งตัว ตะวันหัวเราะเบา ๆ อย่างชอบใจก่อนจะกดจมูกกับริมฝีปากลงที่แก้มเธอแรง ๆ
“ปล่อยงามได้แล้วน่า”
“อยู่ท่านี้ไม่สนุกหรือไง” เขาแกล้งถามกลั้วเสียงหัวเราะ
“ลองมาโดนมัดเองไหมล่ะ” อดที่จะยอกย้อนไม่ได้เลยจริง ๆ แล้วแน่นอน คนอย่างเขาทนไม่ได้หรอกที่เธอทำแบบนี้ มือเขาเชยปลายคางของเธอแล้วบังคับให้มองตรง ๆ ที่หน้าเขา
“ปากดี”
“ก็คุณไม่แก้มัดให้งามซะที งามเจ็บ”
ฟ้างามได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ หลุดออกมาจากลำคอหนาคล้ายกับว่าชื่นชอบความเจ็บปวดของเธอ
“เจ็บที่ฉันคุยกับแคลร์ก็ไม่ว่า”
พอเจอคำถามนี้คนฟังถึงกับร้อนไปทั้งหน้า หากเธอทำได้ก็อยากกรีดร้องออกมาแล้วกระโดดเข้าไปข่วนหน้าเสียจริง หากแต่ทำได้เพียงพูดออกไปอย่างหวังว่าเขาจะเข้าใจว่า
“ใครบ้างจะไม่เจ็บล่ะคะ?”
สุดแสนจะน้อยใจกับเรื่องที่ได้เจอ แต่เธอทำอะไรได้บ้างเล่า เป็นแค่เมียลับ ๆ ที่เขาเก็บไว้สนองความใคร่ แสดงตัวก็ไม่ได้ จะบอกใครก็ไม่ควร
“กลัวโดนทิ้งหรือ ?”
เขาทำราวกับว่าเรื่องที่พูดถึงนี้ไม่สลักสำคัญแต่มันทำให้หัวใจของเธอห่อเหี่ยวเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ไม่เห็นตะวันจะจริงจังกับผู้หญิงคนไหน ส่วนแม่คุณแคลร์คนนั้นเขาก็คงหล่อนไว้ในสถานะเพื่อนมาตลอด ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงอยากจะขยับเป็นอย่างอื่น
แล้วเธอล่ะ....
ฟ้างามยังไม่แน่ใจว่าที่เขายังเก็บเธอไว้เป็นเพราะต้องการรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับเธอ หรือแค่อยากจะหาที่ระบายกันแน่
“รอฉันอยากเขี่ยเธอทิ้งเมื่อไหร่ เราค่อยมาคุยกันว่าเธอจะได้อะไรจากฉันบ้าง”
เวลานี้มันยังไม่เกิดขึ้น... แต่คงอีกไม่นาน
คิดแล้วก็ปวดใจจนไม่รู้จะพูดคำไหน ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นสนิท พยายามบอกตัวเองว่าอย่าร้องไห้เดี๋ยวจะถูกหาว่าเรียกร้องความสนใจจนน่ารำคาญ
“ฉันจะแก้มัดให้”
ร่างใหญ่ขยับเข้ามาแก้มัดให้ เมื่อเป็นอิสระฟ้างามรีบขยับไปคว้าผ้าห่มมาคลุมกายเสียโดยไว ทำให้ถูกเขามองมาด้วยสายตาเหยียดหยาม ขณะที่ฝีปากเขาก็ประณามไปด้วยว่า
“ถ่างให้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว อย่าเยอะ”
เจ้าของร่างงามหน้าแดงปลั่ง มือน้อยกำแน่นอย่างขึ้งโกรธ เพราะถึงแม้จะรู้ว่าเขาเห็นไปถึงไหนต่อไหน มันก็ไม่ได้แปลว่าเธอชอบที่จะต้องมาเปลือยกายต่อหน้าใครนี่นา แล้วถ้าพูดไปก็กลัวจะกลายเป็นการต่อล้อต่อเถียงไม่จบไม่สิ้น
“งามกลับก่อนนะคะ เดี๋ยวพ่อหาไม่เจอแล้วจะยุ่ง”
บิดาของเธอเป็นกำนันของตำบลที่ห่างจากตรงนี้ไปไม่ไกลนัก และท่านยังไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับตะวัน หากรู้เข้าจริง ๆ ละก็... เธอคงหลังแตกแน่นอน
ความจริงแล้วฟ้างามกับตะวันมีศักดิ์เป็นญาติกัน แต่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด เนื่องจากบิดาของคุณย่าศรีสุดา ย่าของเขา มาแต่งงานกับมารดาของคุณย่าเมขลา คุณย่าของเธอ ทั้งสองท่านโตมาด้วยกัน ผ่านร้อนผ่านหนาวและร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน พอคุณปู่กับคุณย่าของฟ้างามเสียชีวิต คุณย่าของตะวันก็มักจะรับหลานสาวคนนี้ไปดูแลในช่วงปิดเทอมอยู่เสมอ นั่นทำให้เธอได้เจอเขา
แต่เขาเป็นเด็กมีปัญหา มารดาทิ้งไปตั้งแต่อายุสิบห้า เหตุเพราะมีผู้ชายคนใหม่มาพัวพันในขณะที่บ้านทิพากรกำลังประสบปัญหา ส่งผลให้บิดาเขาเสียใจหนักถึงขั้นเสียผู้เสียคน สุดท้ายก็ล้มป่วยและเสียชีวิตในที่สุด
โชคดีที่ครอบครัวทิพากรยังมีคุณอาทินกรช่วยกอบกู้วิกฤติไว้ และเลี้ยงดูตะวันเสมือนลูกชาย เรียกได้ว่าทั้งชีวิตเขามีแค่คุณย่ากับคุณอา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้พี่ตะวันแสนน่ารักกลายเป็นคนมองเพศตรงข้ามในแง่ร้าย ถึงขั้นที่ว่ามีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนผู้ชายเพราะไปดูถูกน้องสาวพวกเขาที่มาแอบชอบตนเองว่าเป็นผู้หญิงหิวเงิน
ตะวันมองผู้หญิงทุกคนที่เข้าหาเขาไม่ต่างจากที่เขามองมารดาตัวเองว่าพวกหล่อนรักสบาย... เข้าหาผู้ชายเพราะเงิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงอย่างฟ้างาม คนที่อาศัยความสนิทสนมของสองครอบครัวเป็นสะพานข้ามเส้นระหว่างพี่น้อง หวังจะมาขุดทองที่บ้านเขาทั้ง ๆ ที่ควรอยู่อย่างเจียมตัวเจียมใจว่าเขากับหล่อนมันคนละชั้น ฟ้างามก็แค่ลูกสาวกำนัน ส่วนเขานั้นคือทายาทมหาเศรษฐีที่มั่งมีตั้งแต่บรรพบุรุษของคุณปู่
‘เธอนี่มันร้ายจริง ๆ อ่อยฉันตั้งแต่เด็กยันโต’
เธอได้ฟังคำพูดนี้ตอนอายุสิบหก ซึ่งฟ้างามไม่เคยลืม และแน่นอนว่ามีครั้งแรกแล้วก็ต้องมีครั้งต่อไป
ตะวันไม่ปล่อยให้เธออยู่ที่บ้านนั้นอย่างสบายใจ เขามักมองมาด้วยสายตาดูแคลนอยู่เสมอ หากเจอกันก็น้อยครั้งที่จะคุยด้วย พอเธอทัก เขาก็ทำเป็นมองไม่เห็น แต่บางคราวเขากลับเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องเธอก่อน
‘ทำชม้อยชม้ายชายตาใส่ผู้ชายแบบนี้ ระวังเถอะ สักวันจะท้องไม่มีพ่อ’
‘งามไม่ใช่ปลากัดที่จะจ้องกันแล้วท้องได้นะคะ’
ฟ้างามยอมรับว่าชอบแอบมองเขาทีเผลอ แต่นั่นเพราะเขาเป็นผู้ชายที่น่ามองจนเธออดไม่ได้ ใช่จะยั่วยวนทอดสะพานให้เสียเมื่อไหร่ ด้วยใจนั้นรู้ว่าเขาเกลียดขี้หน้าอย่างกับอะไรดี ไม่กล้าคิดอะไรไปมากกว่านี้หรอก
‘งั้นก็อย่าคันจนไปนอนแบให้ใครเอาไปเรื่อยก็แล้วกัน’
‘ทำไมพูดงี้อะคะ’ เธอร้องถามอย่างไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ กลับพูดในสิ่งที่เขาพูดแล้วมีความสุขต่อไปว่า
‘เพราะถึงแม้ว่าฉันจะไม่เอาเธอ แต่คนอื่นไม่แน่นะ... แล้วถ้าเธอป่องขึ้นมา ฉันกลัวจะหาคนรับผิดชอบยาก’
ตะวันปากร้ายมาก จนบางครั้งเธอก็อยากเกลียดเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น กระนั้นมันก็น่าแปลกที่ไม่เคยหยุดรักเขาได้เลย... แต่การจะได้รักตอบแทนมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
นอกจากคลาริสาแล้ว ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ตะวันเปิดใจ อาจเป็นเพราะหล่อนเข้ามาในเวลาที่เขาอ่อนแอ แต่ใช่ว่าฟ้างามจะไม่เคยทำ เธอพยายามทุกทางที่คิดว่าจะทำให้ตะวันรู้สึกดี หากกลายเป็นว่ายิ่งทำก็ยิ่งเลวร้าย
เพราะคนใจบอดไม่มีวันมองเห็นหัวใจของใครนอกจากคนที่หัวใจเขายอมรับ
แต่กระนั้นความสัมพันธ์ของเขากับคลาริสายังไม่อาจก้าวผ่านคำว่าเพื่อน ถึงตะวันจะแสดงออกมานานว่ารู้สึกอย่างไรกับเจ้าหล่อน แต่ข้อนี้ฟ้างามไม่ได้คิดไปเอง เป็นเพราะอะไรนั้นเธอก็ไม่รู้ อาจเพราะคลาริสามีใครอยู่ในใจหรือเป็นไปได้ว่าอยากเก็บตะวันไว้เป็นตัวเลือก
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรอ
ตรงข้ามกับเธอที่เขาทั้งเกลียด ทั้งเหม็นขี้หน้า เขาทำเหมือนเธอเป็นฝุ่นละอองที่มองไม่เห็น แม้ในวันที่ต้องจากบ้านไปเรียนต่อออสเตรเลียดังใจหวัง เขายังทำเมินเฉยต่อคำล่ำลา
‘งามมาลาพี่หมอค่ะ’
ฟ้างามต้องรวบรวมความกล้ามากขนาดไหนถึงจะกล้าเดินเข้าไปบอก แต่เขาที่อ่านบทความทางการแพทย์อยู่ตรงเฉลียงหลังบ้านกลับเหลือบมองด้วยหางตาและท่าทีเรียบเฉย
‘ไปลาพ่อลาแม่เธอโน่น’
น้ำเสียงเข้ม ๆ นั้นฟังดูหงุดหงิดจนคนที่ตั้งใจมาหาเริ่มเสียความมั่นใจ และอันที่จริงเธอก็ลาทุกคนแล้ว จะให้ไปลามารดา ท่านก็ไปเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์นานแล้ว
‘งามลาทุกคนแล้วค่ะ เหลือแค่พี่หมอคนเดียว’
ตะวันถอนหายใจไม่สบอารมณ์ ไม่พอใจที่คนที่เขาไม่ชอบ มารบกวนเวลาส่วนตัว คราวนี้อารมณ์เหล่านั้นแสดงชัดทั้งสีหน้าและแววตาจนฟ้างามอยากจะร้องไห้
‘งั้นก็โชคดี หวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีก’
ฟ้างามยิ้มขื่นให้กับคำอวยพรซ่อนนัย พยายามมองในแง่ดีที่อย่างน้อยตะวันยังคุยด้วยและที่มาหาก็ใช่เพียงจะเอ่ยแต่คำลา เพราะยังมีบางสิ่งที่อยากให้
‘งามรู้ว่าพี่หมออยากได้’ หญิงสาวเผยสิ่งที่ซ่อนไว้ด้านหลังออกมา ‘เพื่อนงามทำพาร์ตไทม์ที่ร้านหนังสือพอดี งามก็เลยให้เขาหามาให้ค่ะ’
ตะวันเงยหน้ามองร่างบางสลับกับหนังสือเล่มหนาที่เธอยื่นมา แล้วต้องนิ่วหน้าไม่พอใจ
‘รู้ได้ไงว่าฉันอยากได้เล่มนี้’
ฟ้างามกลืนน้ำลายลงคอแสนลำบาก หากตะวันรู้ว่าเธอแอบเปิดสมุดบันทึกของเขา จนได้เห็นลิสต์หนังสือที่เขาต้องการแล้วละก็ เขาคงไม่ชอบใจ
‘เธอแอบเปิดสมุดฉัน อ้อ... ต้องพูดว่าแอบเข้าไปในห้องฉันสินะ’
‘เปล่านะคะ’
ไม่ได้เข้าไปในห้องเขาสักหน่อย เพียงแต่เห็นว่ามันถูกลืมไว้ที่ห้องนั่งเล่นเลยให้แม่บ้านเอาไปเก็บให้ แต่ยอมรับว่าถือวิสาสะเปิดอ่านมันจริง ๆ ด้วยอยากรู้เรื่องของเขามากกว่านี้ หากก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าข้อมูลทางวิชาการและชื่อหนังสือที่ตะวันอยากได้ก็เท่านั้น
‘คันหรือ?’
‘คะ?’
ยังไม่ทันขาดคำตะวันก็พรวดลุกจากเก้าอี้ คนตัวเล็กไม่มีจังหวะตั้งตัวเลยถูกผลักจนหลังชนฝา แขนข้างหนึ่งเท้ากับผนังกักขังเธอไว้ อีกข้างจับไหล่บางอย่างบีบคั้น
‘พะ... พี่หมอ’
เธอกอดหนังสือแนบอกต่างปราการ สั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อเจอสถานการณ์ชิดใกล้ ขณะที่คนตัวใหญ่โน้มใบหน้าลงมาคลอเคลีย ไอร้อนจากลมหายใจเขาเป่ารดผิวหน้านวลชวนหวั่นหัวใจให้ไหวสั่น
‘ไปรอฉันที่ห้องสิ’
คิ้วงามขมวดยุ่งทันทีที่เขาพูดจบ สองมือที่กอดหนังสือก็ออกแรงดันแผ่นอกกว้างออกไปเต็มกำลัง เธอไม่ใช่เด็กอมมือจะได้ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แค่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะพูดแบบนี้
‘งามไม่ได้อยากนอนกับพี่หมอซะหน่อย!’ ความโกรธและน้อยใจทำให้ดวงตาสวยมีน้ำตาเอ่อรื้น เธอจ้องคนตรงหน้าอย่างตัดพ้อ
‘อ้อ’
เขาแสร้งพยักหน้าเข้าใจ แต่กลับเหยียดยิ้มยียวน ก่อนจะกระชากหนังสือเล่มนั้นโยนลงพื้นต่อหน้าต่อตาคนให้
‘พี่หมอ!’ เธอร้องลั่น หากแค่นั้นเขาคงยังไม่สาแก่ใจ กลับยกเท้าเหยียบตามลงไปราวกับของสิ่งนั้นคือหัวใจของเธอ “ทำบ้าไรอะ!!!”
ฟ้างามผลักเขาออกอย่างแรง ทว่าเพราะเขาแข็งแรงกว่าแล้วคว้าเอวเธอไว้ได้เลยแทบจะไม่สะทกสะท้าน แต่เธอก็โกรธเขามากจนไม่ทำแค่ผลัก
สองมือบางกำหมัดแน่น รัวกำปั้นทุบแผ่นอกหนาอย่างไม่ออมแรง ความเจ็บทำให้ตะวันผละออกจากร่างเล็กในที่สุด แต่ยังยิ้มหยันตอนที่ฟ้างามผลุบลงไปเก็บหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาปัด
‘ทำไมถึงได้นิสัยแย่ขนาดนี้!’
‘ยังไม่ชินอีกหรือ?’
‘...’
‘จะบอกให้นะงาม ฉันไม่มีวันรักเธอหรอก อย่าพยายามเอาใจฉันเลย มันน่าสมเพช’
‘คนที่น่าสมเพชคือพี่ต่างหาก’
ฟ้างามทำให้คนที่กำลังจะเดินหนีไปถึงกับต้องหันกลับมามอง
‘ฉันหรือ?’
เธอจำต้องกระแอมไล่เสมหะในลำคอที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรยังไม่รู้ออกไปเบา ๆ ก่อนจะพูดกับเขาว่า
‘พี่น่าสมเพชที่ทำตัวเองให้เป็นแบบนี้ เคยมองดูคนรอบข้างบ้างไหมว่าเขารู้สึกรังเกียจพี่แค่ไหน พี่จะทำเหมือนโลกทั้งใบมีแค่พี่คนเดียวไม่ได้’
‘ฉันก็ไม่ได้ทำตัวแย่ใส่ทุกคนนะ เลือกทำเฉพาะคนที่ฉันเกลียด แล้วถ้าเธอรังเกียจฉันมาก เธอก็แค่ไปให้พ้น ๆ’
‘ถึงอย่างนั้นพี่ก็ควรทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีบ้าง ไม่เห็นจะต้องทำแบบนี้กับงามเลย’
‘แล้วเธอเป็นใครถึงได้มาสั่งสอนฉันแบบนี้?’
‘งามก็แค่เป็นห่วง’
คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะเยือกเย็นจากคนตัวโต
‘ฉันไม่ต้องการความห่วงใยจากเธอ เธออย่ามาทำตัวเป็นแม่ฉัน ฉันจะอ้วกทุกทีที่นึกถึงผู้หญิงคนนั้น’
เธอรู้ว่าตะวันคิดว่าแม่เขาเป็นคนไม่ดี แต่เขาไม่ควรเหมารวมผู้หญิงทุกคนรวมถึงเธอว่าเป็นคนประเภทเดียวกัน อีกอย่างหนึ่ง ต่อให้ท่านจะเป็นยังไง ท่านก็ยังเป็นผู้ให้กำเนิดเขาไม่ใช่หรือ
‘พี่ไม่ควรพูดถึงบุพการีแบบนี้นะคะ’
‘เหอะ’
ตะวันพ่นลมหายใจออกมาเยาะ แล้วเหลือบตามองบน ก่อนที่จะตวัดดวงตาคมปรายตามองหน้าฟ้างามอีกครั้งแล้วพูดว่า
‘เลิกเจ้าบทบาทเถอะงาม มันดูตอแหล’
คนฟังโกรธจัด ใบหน้าหวานแดงจัดเพราะอารมณ์โมโห ไม่เข้าใจเขาเหมือนกันว่าแค่พูดกันดี ๆ มันจะตายหรืออย่างไร
‘จะคุยกันดี ๆ ไม่ได้หรือไงคะ ไหน ๆ งามก็จะไปเรียนตั้งหลายปี’
‘ฉันขี้เกียจเฟค’
สำหรับเขา มันต้องใช้ความพยายามมากขนาดนั้นเลยหรือ หรือเพราะจริง ๆ เขาไม่คิดจะพยายามกันแน่ ก็คงเป็นอย่างที่เขาบอกนั่นแหละ เขาไม่จำเป็นต้องทำดีกับคนที่เขาเกลียด
‘พี่มันใจร้ายมาก’ เธอพูดตัดพ้อ
‘ก็รู้นี่นา’ ตะวันยักไหล่ไม่แยแส
หัวใจของฟ้างามปวดแปลบสั่นสะท้าน น้ำตาก็พานจะไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ หากเขาก็ไม่เคยจะใส่ใจ
...ไม่เคยเลยสักนิด
‘แล้วถ้าจะให้ดี ก็อย่ามายุ่งกับฉันอีก เพราะถ้าไม่มีเธอสักคน ชีวิตฉันมันคงดีกว่านี้’
ฟ้างามจำสีหน้าและแววตาของเขาในวันนั้นได้ไม่มีลืม แล้วเขาก็พูดถึงขนาดนั้นเธอก็ควรตัดใจได้แล้ว ก่อนที่หัวใจจะถลำลึกไปมากกว่านี้
แต่ตลอดสี่ปีที่อยู่เมืองไกล ไม่เคยมีวันไหนที่ไม่คิดถึงเขา แม้จะรู้ว่าคนในห้วงคำนึงไม่เคยมีเธออยู่ในหัวใจเลยก็ตาม
หลายปีต่อมา
หลังเรียนจบ ฟ้างามทำงานอยู่ที่ออสเตรเลียอีกสามปีจึงตัดสินใจกลับมาอยู่เมืองไทยด้วยเป็นห่วงบิดาที่แก่ตัวลง ด้านคุณย่าศรีสุดาก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับหลานสาวทันที ในงานทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น แขกที่มาร่วมงานสนุกสนานดี จะมีก็แต่ตะวันที่ไม่พอใจ ซ้ำร้ายยังแต่งกายไม่ให้เกียรติกันอีก มีอย่างที่ไหนใส่บ็อกเซอร์เดินลงมาร่วมงานเลี้ยง บ่งบอกว่าระหว่างเขากับเธอไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
แต่หากไม่ใช่เพราะอยากกลับบ้านเนื่องจากบิดาไปดูงานต่างจังหวัดกะทันหันในเย็นนั้น อีกทั้งยังมีข่าวโจรย่องเบาในละแวกบ้านด้วย เธอก็คงนอนค้างบ้านทิพากรไม่ต้องรบเร้าท่านจะกลับบ้านตัวเองหรอก ท่านเลยขอร้องแกมบังคับให้ตะวันไปส่งเธอ แต่ท่านไม่รู้เลยว่าได้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างกับหลานทั้งสองคน
ฟ้างามจำเหตุการณ์คืนนั้นได้ทุกฉากทุกตอน เธอและเขาถึงบ้านประมาณเที่ยงคืน แม้ชาวบ้านละแวกนั้นจะเข้านอนกันหมดแล้วแต่ทุกหลังยังเปิดไฟหน้าบ้านเอาไว้อยู่ เว้นบ้านเธอหลังเดียว จนเขาเกิดความสงสัย
‘ไหนบอกกลัวขโมย ทำไมไม่บอกให้พ่อเปิดไฟทิ้งไว้ก่อนจะไปที่อื่น’
เขามองดูบ้านไม้สักหลังใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ซึ่งไม่เปิดไฟทิ้งไว้เลยสักดวงแล้วเอ่ยถามหล่อนพร้อมแววตาตำหนิ
‘สงสัยหลอดไฟจะเสียน่ะค่ะ’
คนที่ไปไขกุญแจประตูรั้วบอกกับคนในรถ ก่อนหน้านี้พ่อกำนัน บิดาของเธอส่งข้อความมาบอกว่าเปิดไฟทั้งหน้าบ้าน ในบ้านและหลังบ้านทิ้งไว้แล้วเพื่อให้ดูเหมือนมีคนอยู่ หากงานเลี้ยงเลิกไวให้รีบกลับมาดู และเธอก็ค่อนข้างมั่นใจว่าท่านไม่ได้ลืม
‘แล้วนี่จะเอายังไง จะกลับไปนอนบ้านฉัน หรือจะอยู่มืด ๆ’
‘เดี๋ยวงามเรียกช่างมาดูดีกว่าค่ะ’ ไม่อยากรบกวนเขามากไปกว่านี้ แค่ต้องให้มาส่งที่บ้านก็รู้สึกอึดอัดจะแย่
‘ช่างบ้านญาติเธอนะสิจะมาซ่อมไฟให้ป่านนี้ โง่ฉิบ! จบเมืองนอกซะเปล่า’
ท่าทางตะวันไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ฟ้างามถึงกับหน้าเสียเลย แต่พอจะอ้าปากเถียงเขาก็ลงจากรถแล้วตรงมาหา เธอเลยยิ่งงงไปใหญ่เลยเปลี่ยนเป็นคำถามแทน
‘คุณไม่กลับบ้านหรือคะ’
‘จะไปดูให้ว่ามันเสียตรงไหน จะได้ไม่มีเรื่องอะไรไปฟ้องย่าฉันอีก’
ฟังเขาพูดสิ... หาว่าเธอเป็นคนขี้ฟ้องทั้ง ๆ ที่เธอไม่เคยยุ่งเรื่องของเขาเลย แต่ยังไม่ทันจะได้ทักท้วงอะไร คนใจดีผิดวิสัยก็ผลักประตูรั้ว เดินเข้าไปในเขตบ้าน
‘เร็วสิ’ เขาหยุดรอที่หน้าประตูบ้าน ฟ้างามรีบก้าวฉับ ๆ ตามเข้าไปแล้วไขกุญแจเปิดประตูให้
ในบ้านมืดมาก มีเพียงแสงจากท้องฟ้าแลบแปลบปลาบ ส่งสัญญาณว่าพายุกำลังมาเท่านั้นที่ทำให้มองเห็น ฟ้างามอาศัยแฟลชมือถือช่วยส่องทางระหว่างเดินไปดูตู้เบรกเกอร์ มันถูกติดตั้งไว้ตรงโถงทางเดินบริเวณชั้นสองของบ้าน
ชายหนุ่มลองสับเบรกเกอร์อยู่สองสามตัวแต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ส่วนฟ้างามทำอะไรได้ไม่มากนอกจากส่องไฟและเป็นกำลังใจให้ เพราะไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ แถมไม่คิดว่าตะวันจะเชี่ยวชาญเรื่องนี้ด้วย
หรือความจริงแล้ว... ผู้ชายส่วนใหญ่เขารู้เรื่องฟืนเรื่องไฟกันทุกคนนะ
ขณะที่คิดอยู่นั้น เสียงฟ้าผ่าเกิดดังสนั่น คนตัวบางกรีดร้องลั่นจังหวะเดียวกันก็ต้องโผเข้ากอดตะวันอย่างลืมตัว ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะเสียงฟ้าฝน หากเป็นเพราะกอดของเธอต่างหาก
มือสากยกขึ้นมาลูบศีรษะหอม ๆ อย่างเผลอตัว เพราะความอ่อนโยนที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ดวงหน้าสวยจึงเงยขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลา แม้จะดูคล้ายเงาเพราะแสงฟ้าแลบภายนอกสาดเข้ามา แต่เธอก็คิดว่ามันชัดเจนเหลือเกิน
ภายใต้ความมืดสลัวเธอสบตากับเขาโดยไม่กลัว รู้สึกว่าตัวเองถูกดึงดูดเข้าไปในแววตาคู่นั้น รับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่อยู่ใกล้ใบหน้าและยิ่งใกล้ขึ้นเมื่อเขาโน้มลงมา ส่วนมือที่เคยลูบศีรษะกลับขยับมาไล้พวงแก้มเนียนนุ่มแผ่วเบา
ขณะที่มือเรียวเสลายกขึ้นมากุมมือเขาที่กำลังประคองแก้มขาว ฟ้างามก็ถึงกับน้ำตาคลอ พลันหัวใจห่อเหี่ยวก็พองโตเพราะความอ่อนโยนที่โหยหา ตะวันใช้นิ้วชี้ปาดไล้น้ำตาที่หยดลงมาออกไปจนแห้ง เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้เขา
หากเขาสนใจที่จะรู้... เขาก็คงดูออกว่าผู้หญิงคนนี้รักเขามากแค่ไหน และต้องเสียน้ำตาเพราะคำพูดทำร้ายจิตใจที่หลุดออกจากปากเขามากเพียงไร
‘ไม่ต้องกลัว’
สิ้นเสียงแผ่วเบาอบอุ่น น้ำตาที่เกือบจะหายไปกลับไหลออกมาเป็นทาง ใช่เพราะกลัวหรือเสียใจ หากเป็นเพราะตื้นตันกับสิ่งที่เขาทำต่างหาก
และนี่เป็นการพิสูจน์ว่าความพยายามที่จะไม่รักเขาตลอดสี่ปีที่ผ่านมามันไม่เคยได้ผลเลย
‘ขอบคุณนะคะ’ ฟ้างามเอ่ยทั้งน้ำตา
ชายหนุ่มพยักหน้ารับน้อย ๆ เผยรอยยิ้มอบอุ่นตราตรึงใจที่มุมปาก เขาน่าหลงใหลจนใครก็ไม่อาจละสายตาจากใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์นั้นไปได้เลย ฟ้างามจ้องลึกเข้าไปในแววตาคู่นั้น จมดิ่งลงในเสน่ห์เหลือร้ายของผู้ชายตรงหน้า ในขณะที่เขาก็ขยับเข้ามาครอบครองเรียวปากสวยนุ่มนวล
คนตัวเล็กตอบรับจุมพิตแสนหวาน ไม่ว่าจะเกิดจากความตั้งใจหรือเผลอไผล เธอก็พร้อมจะเล่นกับไฟ อารมณ์อ่อนไหวพาให้กองไฟเล็ก ๆ ในหัวใจลุกลามเป็นไฟปรารถนาที่พร้อมแผดเผาพาทั้งสองให้มอดไหม้ไปพร้อมกัน
แต่ในจังหวะที่ไฟฟ้าสว่างไสวทั่วทั้งบ้าน ชายหนุ่มกลับผละออกจากจุมพิตแสนหวาน มีบางอย่างแวบเข้ามาในความคิดเขา เตือนไม่ให้เขาหลงมัวเมาไปกับความต้องการผิด ที่มันเกิดขึ้นผิดที่ผิดทาง
ฟ้างามทำหน้าไม่ถูก รู้ในทันทีว่าต้องหยุดทุกการกระทำไว้เพียงเท่านี้ ถึงกระนั้นเสียงในใจมันร่ำร้องให้ไปต่อ แต่ดูคล้ายกับว่าชายหนุ่มกำลังสับสนในสิ่งที่ทำลงไป
เขาคงอยากจะดุด่าหรือต่อว่าเธอ หากแต่สุดท้ายตะวันก็เลือกที่จะผลักร่างบอบบางให้ออกห่าง แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดจากไป
เมื่อตะวันแสดงอาการเหมือนรังเกียจขนาดนั้น หัวใจของฟ้างามเหมือนถูกกระชากออกไปแล้วกระทืบซ้ำ เขาเกลียดเธอมากขนาดนี้เลยหรือ....
ถ้าเธอแก้ผ้าอยู่ตรงนี้ตะวันจะสนใจไหม
‘คุณตะวันคะ’
ชายหนุ่มหันกลับมามอง ความสับสนยังอัดแน่นอยู่ในความรู้สึก หากแทบสะอึกเมื่อฟ้างามตัดสินใจทำเรื่องน่าอาย
มือขาวของเธอค่อย ๆ ปลดแขนเสื้อสายเดี่ยวของชุดราตรีสีสดใสออกจากไหล่ขวาช้า ๆ น้ำตาแห่งความอาดูรอดสูพากันไหลลงมาไม่ขาดสาย แต่เธอเต็มใจเป็นหญิงไร้ยางอายเพื่อแลกกับการได้ครอบครองความรักและเป็นคนที่ถูกรัก... เพียงสักครั้ง
ตะวันไม่อยากเชื่อสายตาและผิดหวังในตัวฟ้างามเหลือเกิน นี่หรือคนที่ย่าเขาอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก... สุดท้ายก็ไม่ต่างจากผู้หญิงไร้ยางอายที่แก้ผ้าให้ท่าผู้ชายแบบนี้
‘เธอทำอะไรลงไปรู้ตัวไหม’
ฟ้างามรู้ว่าตัวเองทำตัวไร้ศักดิ์ศรี ไม่สมกับที่คุณย่าสั่งสอน แต่ไม่ว่าเขาจะมองเธอเป็นอย่างไร จะกลายเป็นนังหน้าไม่อายไปแล้ว... เธอก็ยอมแลกทุกอย่าง
‘งามรักคุณ’
















































