บทที่ 1 Chapter 1

“นายครับดึงกรงขึ้นมาเถอะครับ กรงทำท่าจะพังแล้ว” วิชัยพูดกับเจ้านายด้วยสายตาอ้อนวอน ถึงแม้เขาจะ ยึดถือคำสั่งของเจ้านายอย่างเคร่งครัด แต่ครั้งนี้เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำเจ้านายเลยสักนิดเดียว แต่คนเป็นลูกจ้างอย่างเขาไม่กล้าขัดคำสั่งผู้เป็นนายได้

“รอก่อน” เมฆินทร์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึก เพราะตอนนี้ในใจมีแต่ความแค้นปกคลุมและอัดแน่นอยู่เต็มพื้นที่ สายตาสีสนิมมองดูผลงานของตัวเองเบื้องล่าง อย่างไม่สะทกสะท้านหรือรู้สึกผิดแต่อย่างใด เพราะมันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของบทลงโทษ ที่เขาเป็นผู้กำหนด “รอให้กลัวจับใจมากกว่านี้”

เหล่าลูกน้องรวมห้าคนมองหน้ากัน ต่างคิดตรงกันว่า แค่นี้เชลยสาวผู้น่าเห็นใจไม่กลัวจับใจอีกหรือ พวกเขาแอบคิดว่า หากเป็นพวกตนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับคนเบื้องล่าง ความกลัวคงพวยพุ่งไม่ต่างกัน

เบื้องล่างที่ว่านี้คือ โถงถ้ำขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กมีทางออกสองทางคือ ทางหน้าถ้ำที่ตอนนี้ติดกรงเหล็กไว้อย่างแน่นหนา และอีกหนึ่งทางคือด้านบนถ้ำที่เป็นช่องขนาดความกว้างห้าเมตรครึ่ง ความสูงจากด้านบนไปด้านล่างมากกว่าสิบห้าเมตร กลางวันแดดจะส่องเข้าไปด้านล่าง ทว่ายามค่ำคืนหากคืนไหนพระจันทร์เป็นใจแสงก็จะส่องพอให้เห็นลางๆ คืนนี้ฟ้าปิดแสงเดียวที่ทำให้เห็นเหตุการณ์ตรงโถงถ้ำคือ สปอร์ตไลท์แบบชาร์จแบตสองตัว

ในโถงถ้ำสตรีนางหนึ่งถูกขังอยู่ในกรงไม้ที่ถูกสร้างขึ้นมา ทำจากไม้ขนาดลำแขนเด็กวัยไม่เกินสองปีไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่นัก ลักษณะเหมือนกรงขังสัตว์ที่ไม่มีพิษมีภัย อย่างเช่นลิง ค่าง บ่าง ชะนี

หากเป็นกรงที่เหมาะกับสัตว์ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ เวลานี้ชีวิตของคนที่นั่งอยู่ในกรงคงไม่ปลอดภัย เนื่องจากภายนอกกรงไม้มีเสือลายพาดกลอนสองตัวเดินวนเวียนโดยรอบ ท่าทางของมันหิวโซจ้องมองดูเหยื่ออันโอชะในกรง หมายตาเป็นอาหารให้อิ่มท้อง และเมื่อหิวมันก็ต้องได้กิน

กรงเล็บแข็งแกร่งของมันช่วยกันตะปบและขูดไปที่กรงไม้ แรงมหาศาลของเสือหิวสองตัวที่ช่วยกันทำลายกรงไม้ ส่งผลให้เนื้อไม้ที่ไม่หนามาก เริ่มขาดวิ่นแตกตามแรงของสัตว์ดุร้ายสองตัวที่ตั้งใจจะทำลาย

“กรี๊ด!” เสียงร้องแสดงความหวาดกลัวของนรินทร์วิภาดังลั่น นัยน์ตาตื่นตระหนกมองเสือสองตัวด้วยความกลัวสุดชีวิต กรีดร้องติดกันหลายครั้ง กลัวจนหัวใจหยุดเต้น สั่นไปทั้งตัวและหัวใจ เสียงนั้นสะท้อนกับหินภายในถ้ำทำให้มันดังไปถึงด้านบน “กรี๊ด!เสือเสือ กรี๊ด”

นรินทร์วิภากรีดร้องราวกับคนเสียสติ มองสัตว์ดุร้ายที่เดินวนเวียนอยู่รอบกรงด้วยใจเต้นโครมคราม เต้นแรงมากจนกลัวว่าจะทะลุผิวเนื้อออกมาก็ว่าได้ นึกถึงคุณพระคุณเจ้า นึกถึงบิดามารดาพี่สาว และนึกถึงความผิดของตนเองที่กระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ ทว่าเธอกลับไม่ร้องขอให้ใครช่วยเหลือ เพราะรู้ดีว่า ต่อให้ตะโกนจนเสียงแหบเสียงแห้ง คนที่อยู่ปากถ้ำด้านบนคงไม่เมตตาตน

ซึ่งนรินทร์วิภาคิดถูก

“หึ” เมฆินทร์ทำเสียงพอใจในลำคอ ยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของเชลยสาว สายตาเย็นชา กระด้างไร้ความปรานีมองสตรีแสนเกลียดชังและแค้นมากที่สุดอย่างเหี้ยมเกรียม

“ตุ๊บตุ๊บ” เสียงอะไรบางอย่างถูกโยนลงมาจากด้านบนของถ้ำ เสือหิวทั้งสองตัวต่างกระโจนเข้าใส่สิ่งนั้น มันทั้งสองตัวต่างแย่งชิงไก่ไร้ชีวิต แต่นั่นไม่เพียงพอสำหรับท้องของมัน เสือร้ายหันมาสนใจเหยื่อที่อยู่ในกรงไม้อีกครั้ง และครั้งนี้มันสองตัวเริ่มทวีความรุนแรงกับการทำลายกรงไม้ ได้ผลไม้สองท่อนหักมันตะปบไม้อีกครั้งจนเกิดช่องโหว่ เสือตัวหนึ่งแหย่ขาหน้าข้าวขวาเข้ามาภายในกรง พยายามจะตะปบร่างนรินทร์วิภาที่ถอยร่นหนีเล็บเสือไปอยู่มุมกรง เธอกรีดร้องและร้องไห้ตลอดเวลา พละกำลังความหิวโหยมีอานุภาพมาก เวลานี้กรงไม้ไม่อาจต้านทานแรงพลังของเสือร้ายคู่นี้ได้อีกต่อไป ช่องนั้นกว้างมากขึ้น และมากพอให้เสือเข้ามาได้

“กรี๊ดแม่จ๋าแม่ฮือ” วินาทีนี้นรินทร์วิภานึกถึงมารดา แต่ก็รู้ว่าต่อให้เรียกหาดังมากแค่ไหน แม่บังเกิดเกล้าคงไม่มีทางได้ยิน เธอมองเสือสองตัวทั้งน้ำตา ความกลัวแนบแน่นจิตใจ

นรินทร์วิภาเห็นชะตากรรมของตัวเอง น้ำตาแห่งความอ่อนแอระคนหวาดกลัวไหลลงสู่แก้มนวลทั้งสองข้าง หากเสือเข้ามาภายในกรงได้ชีวิตเธอคงจบเห่ ไม่ได้กลับบ้านไปหามารดาและพี่สาว เมื่อตระหนักว่าคงไม่มีทางรอดออกจากถ้ำนี้ นรินทร์วิภาอโหสิกรรมให้กับทุกคนที่เคยกระทำกับตน ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทุกสิ่งอย่างจบลงที่ชาตินี้ไม่มีอะไรติดข้างกัน

วินาทีแห่งความหวาดกลัวที่สุดในชีวิตเกิดขึ้นแล้ว เธอหลับตาแน่นไม่กล้ามองเสือที่กำลังย่างเท้าเข้ามาในกรง

เสียงบางอย่างดังขึ้นและรับรู้ว่ากรงไม้มีการขยับ นรินทร์วิภาไม่กล้าลืมตาเพราะคิดว่าตอนนี้เสือเข้ามาด้านในและกำลังขย้ำตนเป็นอาหาร ทว่าเหตุใดเธอถึงไม่เจ็บปวดจากคมเขี้ยวหรือกรงเล็บเสือ ยังรู้สึกว่า กรงแกว่งไปมาช้าๆ ก่อนได้ยินเสียงคำรามของเสือร้าย ด้วยความตกใจหญิงสาวลืมตาภาพที่เห็นคือ กรงค่อยๆ ขยับสูงไปยังปากถ้ำด้านบน ด้วยเชือกลอกเส้นใหญ่ที่ขึงไว้กับมุมกรง

ภาพชายฉกรรจ์ประมาณเจ็ดถึงแปดคนยืนอยู่ โดยมีร่างสูงใหญ่กำยำและดูแข็งแรง ยืนมองดูผลงานของตัวเองอยู่ไม่ไกล วิชัยและดำช่วยกันนำร่างของนรินทร์วิภาออกมาจากรงไม้ ดูตัวของเธอค่อนข้างสั่น ดวงตาเอ่อล้นด้วยน้ำใสๆ

“คุณยกโทษให้ฉันแล้วใช่ไหม” คำถามแรกที่นรินทร์วิภาเอ่ยถาม หลังจากเดินออกมาจากกรงไม้ เพราะคิดว่าการที่เมฆินทร์ดึงกรงไม้ขึ้นมาเป็นการให้อภัยเธอ แต่เธอคิดผิด

“ใครบอกเธอ นี่มันแค่น้ำจิ้มเท่านั้น ต่อจากนี้แหละของจริง” น้ำเสียงและแววตาผู้พูดไม่ได้ล้อเล่น ดูจริงจังจนคนรอบข้างรู้สึกหวาดกลัวแทนเชลยสาว

คราแรกนรินทร์วิภาตกใจกับคำพูดของเขา จะมีอะไรน่ากลัวไปกว่าคิดว่าตนเองตกเป็นอาหารของเสือ แค่นี้หัวใจเธอคล้ายหยุดเต้นหลายครั้งหลายหนแล้ว แต่เมื่อนึกถึงความผิดของตัวเอง ที่พรากลูกพรากเมียของเมฆินทร์ มันก็คงสมควรแล้วที่เขาจะเกลียดจะโกรธ เธอจึงต้องยอมรับสภาพและคำพิพากษาของเขา

บทถัดไป