บทที่ 4 Chapter 4

แสงแดดยามสายส่องกระทบใบหน้านรินทร์วิภา เธอพลิกหน้าหนีแสงอรุณนั้น เปลือกตาทั้งสองข้างบวมช้ำลืมขึ้นเชื่องช้า ทันทีที่ดวงตาทั้งสองข้างลืมขึ้น หญิงสาวมองไปรอบๆ ห้องที่ไม่คุ้นเคย สมองประมวลเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ก่อนจะสำรวจร่างกายตน พบรอยฟกช้ำดำเขียวกระจายไปทั่ว

น้ำตารินไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย ก่อนปล่อยโฮออกมา เมื่อนริทร์วิภาคิดว่า ตนได้สูญเสียสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตลูกผู้หญิงไป พรหมจรรย์ที่ตั้งใจเก็บไว้ให้ชายที่ตัวเองรักและต้องการแต่งงานด้วย บัดนี้ไม่หลงเหลือสิ่งนั้นแล้ว เธอสกปรกด้วยน้ำมือของผู้ชายร่วมสิบคน สกปรกจนอดรังเกียจตัวเองไม่ได้

“ไง...ดีใจมากขนาดร้องไห้ ที่มีผัวพร้อมกันถึงสิบคนเลยเหรอ”  เมฆินทร์เดินเข้ามาภายในห้องที่เต็มไปด้วยความอับชื้น มีหน้าต่างเพียงบานเดียวพอให้มีอากาศหายใจ นรินทร์วิภาจ้องมองบุรุษที่เดินเข้ามาภายในห้อง ดวงตาของเธอยังเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตารินไหลไม่หยุด

“คุณปล่อยฉันได้หรือยัง ฉันอยากกลับบ้าน ฉันชดใช้ให้คุณหมดแล้วไม่มีอะไรจะให้คุณแล้ว สิ่งที่ฉันสูญเสียไปมันคงมากพอกับที่คุณสูญเสีย” นรินทร์วิภาพูดทั้งน้ำตา เมฆินทร์ยิ้มอย่างโหดเหี้ยม เดินตรงเข้ามาหาเชลยสาวอย่างเอาเรื่อง

“อะไรที่เธอบอกว่ามันคงมากพอกับสิ่งที่ฉันสูญเสีย...มันคืออะไร บอกมา...บอกมา”  เสียงของเมฆินทร์ดังลั่นห้อง ร่างของนรินทร์วิภาถอยไปจนแผ่นหลังชิดติดกับหัวเตียง  ความหวาดกลัวแทรกซึมเข้ามาในจิตใจอีกครั้ง เธอไม่ตอบคำถามเขา ได้แต่นั่งก้มหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย อาย หวาดกลัว กริ่งเกรงร่างสูงใหญ่ที่คุกคามตน

“ตอบฉัน บอกให้ตอบมาไงเล่า เธอชดใช้อะไรให้ฉัน และสิ่งที่เธอสูญเสียไปคืออะไรบอกมา” เมฆินทร์ตะโกนถามอีกครั้ง ใบหน้าของนรินทร์วิภาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าตื่นตระหนก เมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงและแดงก่ำของเขา เธอจึงตอบคำถามของเขาด้วยเสียงที่เบาหวิวและสั่นไหว

“ฮ่าๆๆ” เมฆินทร์หัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินเธอพูด ผู้หญิงตรงหน้าช่างไม่มียางอายเหลือเกิน พูดมาได้ว่าตัวเองสูญเสียพรมจารี

ไม่มีทาง...

เมฆินทร์ให้คนติดตามชีวิตความเป็นอยู่ของนรินทร์วิภามาร่วมสองเดือนหลังจากที่ภรรยาและลูกในท้องของเขาเสียชีวิตไป หลังเลิกเรียนทุกวันนรินทร์วิภาและเพื่อนอีกคนหนึ่งจะเดินหายเข้าไปในอาบอบนวดชื่อดังทุกวัน ซึ่งเป็นสถานที่ที่รู้กันดีว่า ไม่ได้บริการนวดเพียงอย่างเดียว และจะออกมาจากที่นั่นในเวลาเกือบสามทุ่ม ตอนแรกเขาไม่คิดว่านรินทร์วิภาจะขายตัว เพราะฐานะทางบ้านของเธอดีพอสมควร ไม่น่ามาทำอาชีพนี้ อาชีพที่เรียกว่าเด็กไซน์ไลด์

“ฉันอยากจะหัวเราะให้ฟันหัก ผู้หญิงอย่างเธอเนี่ยนะยังบริสุทธิ์ พูดให้ตายฉันก็ไม่เชื่อ ไอ้พวกนั้นมันอาจจะเป็นผัวเธอคนที่ร้อย คนที่พันก็ได้ และที่สำคัญอย่าเอาเมียฉันลูกฉัน ไปเปรียบเทียบกับความบริสุทธิ์ที่ไม่รู้ว่าจะมีจริงหรือเปล่าของเธอ เพราะมันเทียบไม่ได้เลย” เสียงพูดลอดไรฟัน ใบหน้าถมึงถึง ทำให้เธอยิ่งหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น น้ำตาเริ่มรินไหลลงมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่  มือหนาบีบแก้มนรินทร์วิภาทั้งสองข้างอย่างแรง จนเธอรู้สึกเจ็บไปหมด เจ็บจนทนไม่ไหวต้องใช้มือตัวเองผลักดันมือเมฆินทร์

“จำใส่กะลาหัวของเธอไว้...เธอไปไหนไม่ได้ จนกว่าฉันจะเป็นคนปล่อยเธอไปเอง แล้วถ้าคิดหนีหรือพยายามฆ่าตัวตาย ฉันจะตามไปชำระความกับครอบครัวเธอแทน แม่สาวน้อยร้อยผัว”

เมฆินทร์พูดจบ ก็ผลักดวงหน้าสาวไปทางด้านหลังและปล่อยแก้มนวลให้เป็นอิสระ เขาไม่แยแสว่าเธอจะเจ็บปวดมากแค่ไหน สิ่งที่ชายหนุ่มหัวใจอัดแน่นไปด้วยความแค้นสนใจคือ ทำอย่างไรให้ผู้หญิงคนนี้ได้รับโทษที่ก่อเอาไว้ เพราะเขาไม่ต้องการให้เธอถูกลงโทษทางกฎหมาย เขาจึงไม่ฟ้องดำเนินคดีฆ่าคนตายโดยความประมาทกับเธอ เขาต้องการให้เธอรับโทษในแบบฉบับของตน

“เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกไปทำงานได้แล้ว อยู่ที่นี่เธอต้องทำงานแลกข้าวแลกที่นอน ไม่อย่างนั้นฉันจะให้เธอไปนอนกับผู้ชายแลกข้าว แลกที่นอนแทน เลือกเอาจะเอาอย่างไหน” ร่างสูงใหญ่ของเขาก็เดินออกไปจากห้องนั้นทันที โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านที่พยายามจะร้องบอกเขา

เมฆินทร์รู้ว่านรินทร์วิภายังไม่โดนชายชั่วพวกนั้นข่มขืน แต่เขาเลือกที่จะเก็บมันไว้ในใจ ไม่บอกให้เธอรู้ เพราะต้องการให้เธอตายทั้งเป็น เหมือนกับที่เขาเป็นอยู่ทุกวันนี้

<><><><><><><><><>

อ้อยหญิงสาววัยสิบแปดปี เดินเข้ามาภายในห้องที่นรินทร์วิภาอยู่ สายตาจ้องมองใบหน้าของคนที่ทำให้นายหญิงของตนเสียชีวิต สภาพเชลยสาวช่างน่าสงสาร ความแค้นใจที่มีลดลงไปมา ประกอบกับนึกถึงคำเทศนาของพระที่ว่า “เวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร ผู้ใดก่อกรรมอันใดไว้ ผู้นั้นจะต้องได้รับโทษ” อ้อยถอนหายใจ คิดในใจปล่อยให้เจ้านายลงโทษผู้หญิงคนนี้เองดีกว่า

“ฉันชื่ออ้อย นายเมฆให้ฉันพาคุณไปทำงาน” อ้อยเดินเข้ามาหานรินทร์วิภาที่นั่งร้องไห้อยู่บนเตียง ในมืออ้อยถือเสื้อผ้ามาสองสามชุด ก่อนจะวางลงปลายเตียง

“เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ฉันจะรออยู่ข้างนอก อย่าทำตัวมีปัญหา ถ้าไม่อยากเจอแบบเมื่อคืน”

“ฉันขออาบน้ำก่อนได้ไหม ฉันอยากอาบน้ำ” นรินทร์วิภาน้ำตาคลอ เธอปรารถนาให้น้ำชำระรอยราคีที่ติดอยู่บนร่างกาย ถึงแม้ว่ามันจะฝังลึกในจิตใจก็ตาม ที่ไม่รู้ว่า หลุดไปจากความรู้สึกได้หรือไม่

“นายไม่ได้สั่ง นายแค่สั่งว่าให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปทำงาน” อ้อยตอบ “อย่าเรื่องมากเลยน่า นายไม่เหมือนใครนะ โหดได้โล่เลย ทางที่ดีเธอทำตามที่นายสั่งดีกว่า เชื่อฉัน...ถ้าไม่อยากเจ็บตัวอีก”

เป็นคำเตือนแห่งความหวังดี ก้าวเดินออกไปรอเชลยของเจ้านายด้านนอก

นรินทร์วิภาร้องไห้ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนทีไร เธออดรู้สึกเสียใจไม่ได้ น้ำตาเอ่อล้นอีกครั้ง จากคำพูดของอ้อยเมื่อครู่  แสดงว่าคนที่นี่รู้เรื่องเมื่อคืนทั้งหมดแล้ว แล้วเธอจะกล้าสู้หน้าคนที่นี่ได้ยังไง คงไม่กล้าสบตาใครเป็นแน่ อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี

แท้จริงแล้วอ้อยไม่ได้หมายถึงเรื่องที่นรินทร์วิภาเข้าใจผิด อ้อยหมายถึงเหตุการณ์ในถ้ำ ไม่ใช่ที่เกิดขึ้นในบ้านที่กักขังพวกโจรและคนไม่ดี

คนเป็นเชลยคงลืมนึกไปว่า หากโดนชายเหล่านั้นย่ำยี เหตุใดตอนคืนสติร่างกายไม่ปวดร้าวระบม โดยเฉพาะใจกลางร่างกายต้องตึงและเจ็บจนขยับไม่ได้ และเป็นไปได้สูงที่อวัยวะเพศฉีกขาด ร้าวรานไปทุกสัดส่วน สลบหลายวันหรือแทบไม่อยากตื่นมา แต่นี่เธอมีเพียงแค่รอยฟกช้ำเท่านั้น

นรินทร์วิภาก้าวออกมาจากห้อง เมื่อเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว อ้อยพานรินทร์วิภามาทำงานในไร่องุ่นตามคำสั่งของเมฆินทร์ ไร่แห่งนี้มีพื้นที่กว่าหนึ่งพันไร่ ปลูกองุ่นครึ่งหนึ่ง นอกนั้นจะไร่ส้ม คอกม้า และปลูกพืชผักสวนครัว

ตลอดทั้งวันนรินทร์วิภาทำงานหนักมาก ตามที่เมฆินทร์สั่งไว้ ไม่ว่าจะเป็นเก็บกวาดบริเวณไร่ คอกม้าและไปรดน้ำพรวนดินตรงสวนผักท่ามกลางแดดเปรี้ยง เธอไม่ปริปากบ่นแม้อ่อนเพลียจนแทบเป็นลม เหงื่อโทรมกาย เม็ดเหงื่อไหลเข้าดวงตาจนเกิดความแสบ บางครั้งทำงานไปร้องไห้ไป ยิ่งนึกถึงเรื่องค่ำคืนที่ผ่านมา ร่างกายอ่อนล้าขึ้นดื้อๆ อยากตายให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าก็ทำตามใจคิดไม่ได้ กลัวว่าเมฆินทร์จะนำความแค้นไปลงที่ครอบครัวตน ในเมื่อเธอเป็นคนก่อก็ต้องเป็นคนรับกรรม อีกทั้งก็กลัวคำขู่เขาที่ว่า จะให้เธอถูกย่ำยีจากคนชั่ว

บทก่อนหน้า
บทถัดไป