บทที่ 1 บทที่ 1

บทที่ 1

แสงสีส้มอมแดงของพระอาทิตย์ในยามเย็น ส่องสะท้อนมายังอาชาไนยสองตัวที่ตอนนี้ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกบัวตองซึ่งกำลังบานสะพรั่ง จนทำให้ภูเขาทั้งลูกแทบจะถูกปกคลุมด้วยสีเหลืองอร่าม เหล่าผีเสื้อบินโฉบเชยชมความงามของดอกบัวตองดอกนั้นดอกนี้ บางทีก็หยุดดอมดมดอกไม้สีเหลืองนั้นเนิ่นนานเป็นพิเศษ คล้ายกับจะหลอกล่อให้เด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังรอให้พ่อมารับกลับบ้านต้องวิ่งเข้ามาจับ ครั้นพอเธอเข้าใกล้ มันก็โบยบินขึ้นสู่อากาศ ทำให้เท้าเล็กๆ ต้องขยับวิ่งตามไปเรื่อยๆ

“ฮะๆ รอด้วยเจ้าผีเสื้อ!”

เสียงหัวเราะที่ใสกังวานราวกับระฆังแก้ว บวกกับภาพการวิ่งเล่นอย่างร่าเริง เรียกความสนใจจากเด็กชายวัยเก้าขวบที่กำลังถูกพี่เลี้ยงสอนให้หัดขี่ม้า กับหนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดคนหนึ่งที่นั่งอย่างสง่างามอยู่บนหลังม้าสีดำอีกตัว ท่าทางของเขาบ่งบอกถึงความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย และมาดอันแสนองอาจนั้นทำให้รู้โดยปริยายว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไป

“อุ๊ย! ฮือๆๆๆ”

เสียงหัวเราะของเด็กหญิงกลายเป็นเสียงอุทานและเสียงร้องไห้ เมื่อเท้าเล็กๆ ภายใต้รองเท้าผ้าใบถูกเกี่ยวด้วยเถาของดอกบัวตอง ทำให้ร่างเล็กเสียหลักล้มคะมำลงเต็มแรง

หนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดที่จ้องมองร่างเล็กอยู่หลายนาทีกำลังจะขยับลงจากหลังม้า เพื่อปลอบโยนให้เธอหายจากความเจ็บและตกใจ ทว่าน้องชายของเขานั้นไวกว่า เขาจึงได้แต่นั่งมองอยู่เงียบๆ บนหลังม้าดังเดิม

“เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากมั้ย”

“เจ็บค่ะ เจ็บมาก...” เด็กหญิงตอบเสียงสั่นเครือ ก่อนจะยกมือเล็กขึ้นเช็ดน้ำตาป้อยๆ ออกจากแก้ม ภาพนั้นช่างเป็นภาพที่ชวนให้อยากปกป้องและปลอบโยนยิ่งนัก

“มาเดี๋ยวพี่เป่าให้นะ” เด็กชายดึงมือเล็กเข้าไปหาตัว พร้อมกับเป่าลมหายใจใส่ทันที “เพี้ยง! แค่นี้ก็หายเจ็บแล้ว”

เด็กหญิงที่กำลังร้องไห้หยุดชะงัก ใบหน้ากลมแป้นที่เปื้อนหยาดน้ำใสเงยขึ้นมองคนที่กำลังปลอบตัวเองด้วยแววตาอันแสนไร้เดียงสา ทว่าความไร้เดียงสานั้นเจือมาด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจและซาบซึ้งระคนกัน

“ขอบคุณค่ะพี่วิน”

“พี่มีช็อกโกแล็ตด้วยนะ รับรองว่ากินแล้วจะหายเจ็บเป็นปลิดทิ้งเลย”

ช็อกโกแล็ตรสนมที่ถูกห่อด้วยกระดาษฟอยสีขาวถูกยื่นให้เด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้า เธอรับไปแล้วแกะใส่ปาก ทันทีที่กลิ่นหอมๆ ของนมกับรสชาติหวานๆ ของช็อกโกแลตแตะลิ้น ปากเล็กๆ ก็คลี่ยิ้มออกมาจนตาหยีให้เห็นอีกครั้ง

“ขอบคุณค่ะพี่วิน ขิมหายเจ็บแล้วจริงๆ ด้วย”

“ชอบไหม...”

“ชอบค่ะ ช็อกโกแล็ตของพี่วินอร่อยจัง”

“งั้นวันหลังพี่เอามาฝากอีกนะ”

“ขอบคุณพี่วินมากนะคะ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก แค่เห็นขิมยิ้มได้เหมือนเดิมพี่ก็ดีใจแล้ว” เด็กชายส่งยิ้มละไมให้ ในขณะที่เด็กหญิงก็ยิ้มตอบด้วยแววตาใสบริสุทธิ์ ทว่าคนที่นั่งมองอยู่บนหลังม้ากลับมีใบหน้าที่เคร่งขรึมลง จากนั้นเท้าแข็งแรงจึงเตะเบาๆ ข้างตัวม้าพร้อมกับกระตุกเชือก ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น อาชาไนยสีดำก็วิ่งไปในทิศทางเดียวกับที่พระอาทิตย์กำลังจะอัสดง คนที่มองตามจึงเห็นเพียงเงาทะมึนซึ่งค่อยๆ ลับหายไปจากสายตา

รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้ารูปไข่ของ ‘ภัคธีมา รัตนไชยกุล’ ในทันทีที่รถแท็กซี่จากสนามบินวิ่งเข้าสู่อาณาเขตของไร่ทหัยรัตน์ ซึ่งเป็นอาณาเขตเล็กๆ ขนาดแค่สิบไร่ เรียกได้ว่าเล็กมากแบบเทียบไม่ติดฝุ่นเลยกับไร่อันกว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่ข้างๆ กัน ทว่ามันไม่ใช่ประเด็นที่หญิงสาวให้ความสำคัญแต่อย่างใด สิ่งสำคัญมากกว่าความใหญ่โตของบ้านหรืออาณาบริเวณใดๆ ก็คือคนที่รอเธออยู่ที่บ้านต่างหาก

ภัคธีมากลับบ้านครั้งนี้โดยไม่ได้บอกใครล่วงหน้า กลับมาแบบปุบปับเพราะเก็บความดีใจเอาไว้คนเดียวไม่ไหว อยากจะแจ้งข่าวดีกับคนที่เธอรักด้วยตัวเอง ในยามที่ดีใจหรือเสียใจคราใด คนที่อยากพบมากที่สุดก็มีเพียงสามคน นั่นก็คือ...พ่อ น้ารส และ ‘พี่วิน’ ซึ่งล้วนแต่เป็นคนสำคัญของเธอทั้งนั้น

มือบางยื่นค่าแท็กซี่ไปให้กับโชเฟอร์ จากนั้นก็ก้าวลงจากรถพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองบ้านหลังขนาดกลางแบบสองชั้นที่ถูกสร้างขึ้นจากความฝันของคนเป็นแม่ ถึงแม้ตอนนี้แม่จะไปอยู่บนสวรรค์แล้ว ทว่าบ้านก็ยังเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นจากพ่อกับน้าที่เติมเต็มให้แก่เธอจนล้นเปี่ยมเสมอมา

“ยัยขิม!” เสียงของผู้เป็นน้าอุทานขึ้นอย่างดีใจ ก่อนจะก้าวยาวๆ เข้าไปกอดร่างบางของหลานสาวไว้แนบอก

“น้ารส...” ภัคธีมากอดตอบด้วยความดีใจระคนตื่นเต้นและอบอุ่นที่ได้กลับบ้านอีกครั้งหลังจากไม่ได้กลับมานานกว่าสามเดือน

“ยัยขิม!” เสียงอุทานชื่อเล่นของภัคธีมาดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังจากปากของบุรุษซึ่งเดินตามมธุรสออกมาจากบ้าน

“พ่อ...” ร่างบางผละจากอ้อมกอดของน้า แล้วเข้าไปซุกกับอกอุ่นๆ ของบิดาซึ่งเป็นผู้ชายที่เธอรักมากที่สุดบ้าง

“มาได้ยังไง ทำไมไม่โทร.บอกพ่อกับน้ารสก่อน จะได้ไปรับ”

“ไม่อยากให้รู้ไงคะว่ามา พ่อกับน้ารสจะได้เซอร์ไพรส์ไง ขิมมีข่าวดีมาบอกด้วยนะคะ”

“ข่าวดี?” คิ้วของอยุทธเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม ภัคธีมาจึงยิ้มหวานแล้วเอ่ยตอบ

“ลูกสาวพ่อกำลังจะได้เป็นนักร้องแล้วค่ะ”

“มะ...หมายความว่า…”

บทถัดไป