เพื่อนร่วมห้อง
(ปัจจุบัน)
มุมมองของเอเมอร์สัน
ไฟบนเวทีหรี่ลง โน้ตตัวสุดท้ายของบทเพลงค่อยๆ จางหายไปในอากาศ ถูกตัดบทด้วยเสียงเชียร์ของฝูงชน หัวใจผมเต้นรัวอยู่ในอก หยาดเหงื่อไหลซึมลงมาตามขมับขณะที่ผมกำไม้กลองไว้แน่น อะดรีนาลีนที่พลุ่งพล่านราวกับเปลวไฟเหลวไหลแล่นปราดไปทั่วทุกอณูของร่างกายเหมือนกระแสไฟฟ้า
“อังกอร์! อังกอร์!” ฝูงชนกรีดร้อง เสียงของพวกเขาราวกับคลื่นที่ซัดสาดใส่พวกเรา
ไอวอรี่ นักร้องนำของวงเรา ฉีกยิ้มร้ายกาจ ชูแขนขึ้นเพื่อปลุกเร้าฝูงชน แบรด มือกีตาร์นำ โยนปิ๊กของเขาเข้าไปท่ามกลางแฟนเพลงที่กำลังกรีดร้อง ดวงตาสีดำของเขาวาววับมาจากอีกฟากของเวที ผมยิ้มกริ่ม หมุนไม้กลองเล่นในมือก่อนจะฟาดลงบนกลองสแนร์เป็นครั้งสุดท้าย เสียงคำรามนั้นกลายเป็นเสียงดังอึกทึก
ให้ตายสิ ผมโคตรชอบบรรยากาศแบบนี้เลยว่ะ
แต่ช่วงเวลานั้นช่างสั้นนัก พอลงจากเวที บรรยากาศก็เปลี่ยนไป ร่างกายที่ชุ่มเหงื่อเดินขวักไขว่ไปมา ถอดเสื้อแจ็กเก็ตหนังออกและยืดแข้งยืดขาที่เมื่อยขบ กลิ่นเบียร์และบุหรี่คละคลุ้งในอากาศขณะที่พวกเราไปสุมหัวกันอยู่ตรงมุมห้อง รอให้แบรดแบ่งเงินค่าจ้างของคืนนี้
“โอเค” แบรดพูดหอบๆ พลางควักปึกธนบัตรออกมาจากเสื้อแจ็กเก็ต เขาเลียนิ้วแล้วเริ่มนับเงิน ก่อนจะยื่นให้พวกเรา “คนละสามร้อย”
ผมเอื้อมมือไปรับส่วนของตัวเอง แต่แบรดกลับยัดเงินเพิ่มอีกห้าสิบใส่มือผม สีหน้าของเขาอ่านไม่ออก
“นี่มันห่าอะไรวะ?” ไอวอรี่ตวาดขึ้นก่อนที่ผมจะได้ทันมีปฏิกิริยาเสียอีก เขาเบ้ปากแล้วหันไปเล่นงานแบรด “ทำไมมันถึงได้เยอะกว่าวะ?”
ริเวอร์ มือกีตาร์เสริมของเราที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้น “เฮ้ยเพื่อน ทำให้มันแฟร์ๆ หน่อยดิวะ” เขาคำรามพลางชี้นิ้วมาที่ผม “เราทุกคนก็เล่นโชว์เดียวกันนะเว้ย”
ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วหมุนหัวไหล่ “ไอวอรี่ ไม่เป็นไรหรอกน่า—”
“ไม่เป็นไรกับผีสิ!” ไอวอรี่ตวาด เขาก้าวเข้ามาใกล้ผมอีกก้าว ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายวาวโรจน์ “มึงเล่นลูกไม้นี้มาหลายเดือนแล้วนะแบรด มึงจะบอกเหตุผลดีๆ ได้รึยังว่าทำไมเอเมอร์สันถึงได้ส่วนแบ่งเยอะกว่าตลอด”
แบรดเม้มปากแน่น “มึงก็รู้ว่าทำไม”
“ไม่ กูไม่รู้ ทำไมมึงไม่เสือกบอกกูมาล่ะ?” ไอวอรี่ผลักเขาอย่างแรงจนแบรดถอยหลังไป
ปีกจมูกของแบรดบานออก และก่อนที่ผมจะห้ามทัน เขาก็พุ่งเข้าใส่ ร่างของทั้งสองกระแทกเข้าหากัน หมัดปลิวว่อน
“ให้ตายสิ” ผมสบถแล้วก้าวเข้าไปขวางระหว่างทั้งสองคน ผมเหวี่ยงหมัดใส่ไอวอรี่แล้วยกมือห้ามแบรด “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะโว้ย”
ไอวอรี่เช็ดเลือดที่ไหลจากริมฝีปากแตกแล้วถ่มน้ำลายลงบนพื้น “แม่งโคตรทุเรศเลยว่ะ”
น้ำเสียงของแบรดต่ำและเฉียบขาดตอนที่เขาพูดพลางกุมไหล่ตัวเอง “มึงก็รู้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้เงินมากกว่าพวกเราทุกคนนะไอวอรี่ มีมโนธรรมสำนึกบ้างสิวะ!”
ความเงียบที่หนักอึ้งและตึงเครียดเข้าปกคลุมทั่วห้อง ผมผ่อนลมหายใจ ก้าวไปข้างหน้าแล้วโยนเงินทั้งหมดลงบนโต๊ะ “กูไม่ต้องการความเห็นใจจากใคร เอ้า เอาไปเลยไอวอรี่”
ผมหมุนไม้กลองในมือ หันหลังกลับ แล้วเดินกระทืบเท้าออกไป
ตรอกด้านนอกเหม็นอับไปด้วยกลิ่นเบียร์ที่หกเรี่ยราดและเหงื่อไคล ผมล้วงกระเป๋าหลังหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดแล้วค่อยๆ สูดควันเข้าปอด
เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น เดี๋ยวมันต้องดีขึ้นสิวะ มันต้องดีขึ้น
ผมถ่มน้ำลายลงบนทางเท้า พ่นควันบุหรี่ออกไปในอากาศยามเย็น
ใช้ชีวิตด้วยเงินของตัวเองมาสองปีแม่งโคตรทรมาน ใช้ชีวิตเป็นตัวน่าสมเพชให้คนอื่นเขาเวทนา กูคงพึ่งพ่อมากเกินไป แต่จะโทษกูได้เหรอวะ? ตอนนั้นกูเพิ่งจะอายุสิบแปดเองนะ แถมไม่เคยต้องทำงานมาก่อนเลยด้วย
แต่ตอนนี้กูทำงานสองจ๊อบ แถมยังรับงานทุกอย่างที่หาได้ กูเล่นดนตรีทุกงานที่เราหาได้ แล้วก็รับสอนพิเศษเป็นครั้งคราว
ขอบคุณพระเจ้าที่กูยังมีวงกับมหา'ลัย ไม่อย่างนั้นกูจะไปหัวซุกนอนที่ไหนวะ? จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าเทอม? แค่เงินซื้อบุหรี่กูยังแทบไม่มี ชีวิตกูแม่งโคตรบัดซบ
“โว้ยยยยยยยยย” ผมตะโกนออกมาจนอกแสบไปหมด เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น
ผมขยี้ก้นบุหรี่ลงกับพื้นแล้วใช้รองเท้าบูตเหยียบซ้ำ จากนั้นก็คว้าหมวกกันน็อกมาสวม แล้วตวัดขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ บิดคันเร่งจนเครื่องยนต์คำรามลั่น ก่อนจะโน้มตัวลงต่ำ
มือของใครบางคนยัดเข้ามาในกระเป๋ากางเกงผม ของแบรดนั่นเอง ผมไม่ได้ยินเสียงเขาเดินเข้ามาเพราะเสียงมอเตอร์ไซค์ของผมดังเกินไป เขายัดบางอย่างเข้ามาในกระเป๋า คงจะเป็นเงินบ้าๆ นั่น ผมอ้าปากจะพูด แต่เขาก็พูดตัดบทขึ้นมาก่อน “รับไปเถอะน่า ไม่ต้องเถียงเว้ย”
“กูไม่ใช่พวกรอรับบริจาคนะแบรด”
“เออ มึงไม่ใช่ แต่มึงเป็นเพื่อนกู ตอนนี้หุบปากแล้วเอาเงินไปหาอะไรดีๆ กินซะบ้าง ไม่ใช่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป”
ผมไม่ตอบ แค่บิดคันเร่งแล้วขี่ออกไป แต่ความจริงมันจุกอยู่ที่คอ ผมต้องการเงิน ต้องการทุกบาททุกสตางค์เท่าที่จะหาได้
อากาศระหว่างทางกลับหอหนาวเหน็บ ลมตอนเที่ยงคืนโบกสะบัดใส่ร่างขณะที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามถนนที่เกือบจะร้าง เสียงเครื่องยนต์คำรามอยู่ข้างใต้ อะดรีนาลีนจากการชกต่อยยังคงค้างอยู่ในกาย แต่มันก็ถูกความเหนื่อยล้าที่ถ่วงทับอยู่บดบังไป หมัดของผมเจ็บระบมจากที่ไปต่อยไอวอรี่มา และหัวก็ปวดตุบๆ เมื่อนึกถึงเรื่องวิวาทของเรา
กว่าจะถึงมหาวิทยาลัย หอพักส่วนใหญ่ก็ปิดไฟมืดหมดแล้ว มีเพียงแสงจากไฟถนนและหน้าต่างห้องที่เปิดไฟอยู่ประปราย ซึ่งคงจะเป็นพวกนักศึกษาที่กำลังเล่นเกมหรือไม่ก็อ่านหนังสือโต้รุ่งกันอยู่ ผมล็อกโซ่มอเตอร์ไซค์แล้วถอดหมวกกันน็อกออก เอามือเสยผมที่ชุ่มเหงื่อ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้มันทับถมตัวผมเหมือนภูเขาเวรๆ ลูกหนึ่ง
ผมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นของตัวเอง กำกุญแจไว้ในหมัดแน่น ห้องของผมคือที่พักพิงใจเพียงหนึ่งเดียว เป็นสิ่งเดียวที่พ่อเอาไปจากผมไม่ได้ตอนที่ไล่ผมออกมา ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองรักษามันไว้ได้ แต่คุณนายเมเยอร์ อาจารย์ที่ปรึกษาหอพัก บอกผมว่าเธอจะไม่แจ้งเรื่องสถานะของผมให้ทางโรงเรียนรู้ เธอรู้... รู้ว่าผมไม่มีที่อื่นให้ไป
ผมขยับกระเป๋าบนไหล่แล้วเปิดประตู ก้าวเข้าไป... แล้วก็หยุดกึก
ตรงนั้น กลางห้องของผม อดัม เพียร์ซ โกลเด้นบอยแห่งทีมแคลิฟอร์เนีย บูลล์ด็อกส์ กำลังยืนอยู่ข้างกระเป๋าดัฟเฟิลใบหนึ่ง เชี่ยไรวะ
เขาเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ คิ้วขมวดเข้าหากันทันทีที่เห็นผม “เชี่ยไรวะ”
“กูก็คิดเหมือนมึงเปี๊ยบเลย” ผมพูดพลางทิ้งกระเป๋าลงบนพื้น “มึงมาทำอะไรในห้องกู”
เขายังไม่ทันได้ตอบ ประตูด้านหลังผมก็เปิดออก คุณนายเมเยอร์ยืนอยู่ที่ธรณีประตู สีหน้าเรียบเฉย “เอเมอร์สัน ฉันรอเธออยู่พอดี”
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ” น้ำเสียงผมแข็งกระด้างและกดต่ำ เธอช่วยผมไว้มาก ผมไม่มีวันขึ้นเสียงใส่เธอได้ ต่อให้จะโกรธแค่ไหนก็ตาม “ทำไมเขามาอยู่ที่นี่”
เธอถอนหายใจแล้วกอดอก “บัญชีของเธอกับทางโรงเรียนถูกตีกลับเมื่อสองสามเดือนก่อน ทางโรงเรียนกำลังจะรู้เรื่องแล้ว และถ้าพวกเขารู้ เธอก็จะเสียห้องนี้ไป ทางเดียวที่จะแก้ไขได้คือจับคู่เธอกับคนอื่นที่ต้องการห้อง อดัมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เขาต้องการที่พักใกล้สนาม และตอนนี้ก็ไม่มีหอพักอื่นว่างแล้ว”
ผมกัดกรามแน่นขณะจ้องหน้าเธอ “หมายความว่าผมไม่มีทางเลือก”
อดัมแค่นเสียง “อย่างกับว่ากูอยากได้นักนี่”
ผมตวัดสายตาขวางๆ ไปให้เขาก่อนจะหันกลับมาสนใจคุณนายเมเยอร์ “แล้วถ้าผมปฏิเสธล่ะครับ”
“เธอก็ต้องไปอยู่ที่อื่นนะ เอเมอร์สัน” น้ำเสียงของเธออ่อนลง “ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีนัก แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”
ความเงียบที่หนักอึ้งราวกับมีหมอกลงจัดปกคลุมไปทั่วห้อง อดัมทำหน้าเหมือนยอมไปนอนใต้สะพานเสียยังจะดีกว่ามาอยู่ข้างผม แต่ใต้สะพานมันคงไม่ใกล้สนาม ส่วนผมกำลังพิจารณาทางเลือกนั้นอยู่ ผมไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้สนามบ้าๆ ของเขาสักหน่อย แต่ความหนาวคงจะฆ่าผมตายก่อนพวกขี้ยาเสียอีก
คุณนายเมเยอร์ถอนหายใจ “พยายามทำให้ดีที่สุดแล้วกันนะ แล้วก็... เอเมอร์สัน อย่าสร้างเรื่องล่ะ” เธอพูดจบก็เดินออกไปแล้วปิดประตู ทิ้งไว้เพียงความเงียบอันน่าอึดอัด
อดัมหัวเราะหึๆ ในลำคอแล้วส่ายหน้า “เออ นี่แหละสิ่งที่กูต้องการเลย!”
ผมยกมือขึ้นเสยผมแล้วพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ กูก็เกลียดสถานการณ์เหี้ยๆ นี่เหมือนกัน





















































































































