บทที่ 11 กินข้าวกับพระสวามี
บนโต๊ะอาหารค่ำ อาหารหลากหลายถูกรังสรรค์ขึ้นมาอย่างประณีต จากของพระราชทานที่ได้รับวันนี้ ซั่วหยางกับซีเวยนั่งห่างกันอยู่คนละมุมของโต๊ะ ซีเวยมองดูอาหารแล้วก็ให้หวนนึกถึงคราวครั้งที่ยังอยู่ด้วยกันกับมารดา พลันได้ยินน้ำเสียงนุ่มนั้นดังขึ้นมา
"ลองกินผักนี้ดูสิ เวยเวย"
"ไม่เอา ท่านแม่ ข้าไม่กินได้ไหม ผักมันขม ข้าไม่ชอบ"
"ผักพวกนี้ปรุงรสและย่างไฟมาแล้ว รสชาติดีมาก กินผักดีต่อร่างกายนะ กว่าจะหาผักพวกนี้มาได้ ไม่ใช่ง่ายเลย ต้องสั่งซื้อมาจากนอกด่าน ราคาสูงมาก ลองกินสักหน่อยเถอะ รสชาติมันไม่ได้แย่เหมือนเจ้าคิดหรอก" สวีซิ่วโน้มน้าวลูกสาว จนนางเปิดใจยอมลองคีบกินสักคำ
"อื้ม!จริงด้วย รสมันก็ไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียว ก็อร่อยในแบบผัก ท่านแม่ ส่งมาเถอะ ข้าจะจับมันกลืนลงท้องเสีย"
"ต้องอย่างนี้สิ ลูกแม่"
นับแต่นั้น ซีเวยก็เริ่มคิดค้นทดลองปรุงรสผักแต่ละชนิด ให้มีรสชาติถูกปากตนเองจนนางกลายเป็นนักปรุงและนักกินผักตัวยงของบ้าน
"เป็นอะไรไป ไม่ชอบกินผักหรือ ถ้าอย่างนั้น กินเนื้อนี่สิ ข้าคีบให้" ซั่วหยางคีบเนื้อห่านอบ วางลงบนถ้วยข้าวของนาง
"ขอบคุณ"
แต่แทนที่นางจะคีบกินเนื้อห่านชิ้นนั้น นางกลับนำใบผักมาวางลงในมือ นำขิงและกระเทียมดองวางใส่ จากนั้นก็คีบเนื้อในถ้วยชิ้นนั้นวางทับ หยอดน้ำส้ม แล้วจับพันม้วนเข้าปาก
"ง่ำๆๆ ใช้ได้"
ใบหน้าที่เปี่ยมสุขยามลิ้นสัมผัสรับกับรสอาหารนั้น มันช่างแตกต่างกับใบหน้าเหม่อลอยเมื่อครู่อย่างลิบลับ
"ทำเช่นนั้น มัน...เอ่อ มันอร่อยมากเลยหรือ" ซั่วหยางหยิบใบผักมาพลิกซ้ายขวา พิจารณาจัดวางตามแบบนางอย่างเก้ๆ กังๆ
"สำหรับข้า ใช่ แต่คนอื่นข้าไม่รู้ เพราะความพอใจของคนเรามันต่างกัน" คนหน้าชื่น ยังคงจัดเตรียมห่านหึงห่มป่าคำต่อไปอย่างคล่องแคล่ว
"แต่ข้าก็อยากลองบ้าง"
ซั่วหยางเงยหน้าขึ้นมา ก็เจอกับเนื้อห่านในมือนางคำนั้น มาจ่อรออยู่ตรงหน้า เนื้อห่านห่อผักคำที่นางเพียรประดิดประดอยอย่างประณีต ดูใส่ใจและมีความสุขเมื่อครู่ ห่านคำนั้นนางตั้งใจทำให้เขาเองหรอกหรือ
"ไม่กินเหรอ อ้าปากสิ"
ซั่วหยางตกอยู่ในภวังค์แห่งความประหลาดใจไปชั่วครู่ แต่เมื่อนางจะถอนไมตรีคืน เขาจึงกลัวที่จะเสียโอกาสดีๆ นั้นไป
"กินสิ ข้ากิน"
สองมือหนาคว้ารวบมือน้อยนาง ให้ประคองป้อนอาหารคำนั้นตรงเข้าปาก ช่วงเวลาแสนสั้น แต่ความรู้สึกนั้นดังว่ามันค่อยๆ เป็นไปอย่างเนิบช้า ทุกการเคลื่อนไหวดูเอื่อยยืดดังว่าเวลานั้นหยุดนิ่ง ร่างใหญ่อ้าปากกว้าง งับรับเนื้อห่านคำโต ริมฝีปากหนาพลาดเลยมาสัมผัสกับปลายนิ้วมือนาง เพียงแผ่วเบา แต่ความรู้สึกจากสัมผัสเล็กๆ นั่น กลับสะดุดใจอย่างแปลกประหลาดยากจะอธิบาย
สองแก้มนางแดงสุกปลั่งเห่อร้อน มือไม้ก็เริ่มชา ร่างกายก็แข็งทื่อ ซ้ำลิ้นยังพันกันจนไม่อาจต่อปากต่อคำกับเขาได้ถนัด
"อื้ม! อร่อย"
"อะ อะ อร่อยก็ ก็ปล่อยมือข้า ได้แล้ว"
ซั่วหยางมัวแต่เคี้ยวเพลิน จนลืมไปว่าสองมือหนายังกอบกุมมือนางเอาไว้แน่น
"อ้อ! มือเจ้า ข้าปล่อยแล้ว"
ผู้ดูแลซูที่ลอบปรายสายตา จ้องมองคนทั้งคู่อยู่นั้น แท้ที่จริงแล้ว ระบบจับผิดของเขากำลังทำงาน
'แย่แล้ว ท่านอ๋องไม่เคยถูกใส่ใจมานาน การกระทำนี้ มีเพียงพระสนมถาง ผู้เป็นพระมารดา คอยทำให้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังมีพระชนม์ชีพ พระชายาแสร้งเอาใจได้ถูกจุดเช่นนี้ ช่างร้ายกาจจริงๆ'
"ข้า ข้าอิ่มแล้ว ท่านอ๋องกินต่อเถอะ"
"เดี๋ยวสิ เจ้าจะไปไหน เพิ่งกินไปคำเดียวมิใช่หรือ เฉินซีเวย!"
พระชายาคนงามซ่อนใบหน้าเห่อแดง เร่งก้าวฝีเท้าถี่ เพื่อพาตนออกจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้ให้เร็วที่สุด
"เป็นอะไรไปนะ หรือว่านางเกิดคิดถึงแม่ขึ้นมา เฮ้อ...หมาน้อยเช่นเจ้า ต้องผ่านเรื่องราวหนักหนามามากเพียงใดนะ จึงทำให้เป็นไปได้ถึงเพียงนี้"
ซั่วหยางบ่นเบา เมื่อนึกถึงสิ่งที่นางละเมอเผลอพูดออกมาเมื่อตอนเย็น พลางหยิบเอาทั้งผักและเนื้อมาลองห่อกินเองดูบ้าง
"ท่านอ๋องโปรดพิจารณาด้วย พระชายามากเล่ห์นัก อย่าทรงหลงกลโดยง่ายนะพ่ะย่ะค่ะ" ผู้ดูแลซูยังคงปักใจเชื่อในสายตาตัวเอง ที่มองพระชายารองดังคนธรรมดาที่ปกติดีทุกอย่าง
"มากเล่ห์หรือ ฮึๆๆ ถูกของเจ้า บางครั้งนางก็ดูเชื่องแสนซื่อ แต่บางทีก็ดื้อดึงมุทะลุจนน่าตี ยากจะแยกว่านางป่วยจริงหรือหลอก แต่ความในใจของนางคงจะมีอยู่ไม่น้อย ปล่อยให้นางพักอยู่นี่อย่างสบายใจเถอะ"
"เอ๋ เพียงไม่กี่วัน ท่านอ๋องก็โอนอ่อนให้กับนางได้ถึงเพียงนี้ ไม่ใช่ว่า ตกหลุมพรางของนางเข้าให้แล้วหรือ?" อ๋องสามช้อนสายตามองปราม ผู้ดูแลซูจำต้องหลบสายตาในทันใด
"กระหม่อมมิกล้า เพียงยังไม่อาจวางใจในพระชายาได้ ที่พูดไปก็เพราะเป็นห่วง ขอท่านอ๋องโปรดมองเห็นเนื้อในจิตใจของกระหม่อมด้วย" ผู้ดูแลซูก้มหน้าหมอบต่ำ ยกมือคำนับอย่างวิงวอน
"ไม่มีความลับใด หลบซ่อนในกาลเวลาได้ วางใจเถอะ ต่อให้นางจะจิตวิกลจริง หรือเสแสร้งจงใจ ล้วนไม่อาจส่งผลใดต่องานของข้า" อ๋องหนุ่มอมยิ้ม ก่อนม้วนผักสดๆ คำโตเข้าปาก
"พ่ะย่ะค่ะ"
