บทที่ 10 ตอนที่ 8
“พี่สาว” ข้าวย้ำตัวเองมองหน้าสร้อยทองที่ยืนกุมมือมองนิ่งก่อนมองนางทาสสามรำที่ถอยกลับนั่งหมอบห่างๆ
“ว่าจักถามอยู่เหมือนกัน เหตุใดถึงนุ่งผ้าประหลาดนี้ ของค้าจากเมืองเหนือรึช่างไม่งามไม่เหมาะสมเอาเสียเลย เอาไปเผาเสียเถิดนะแม่จันทร์หอม” สร้อยทองก้มลงหยิบวันพีชพร้อมมองหน้าข้าวอย่างแปลกใจแต่คนที่แปลกใจแทบช็อคคือหญิงตรงหน้า
“ไม่ เอาไว้เป็นระลึกเตือนตนจะได้ไม่ลืม ฉัน เอ่อ ข้า ข้าก็ได้ เอ็งๆข้าๆเดี๋ยวก็ชินไม่รู้ว่าต้องอยู่นานเท่าไหร่ อยู่ยันแต่งงานกับอีตาขุนหรือเปล่าก็ไม่รู้” ข้าวบ่นพึมพำส่ายหน้าไปมายกมือตบหน้าผากรับชุดวันพีชมาถือไว้
“เหตุใดถึงเรียกขุนภาพย์เยี่ยงนั้น ไม่งามเลยนะแม่จันทร์หอม เป็นคู่หมายกันอีกทั้งขุนภาพย์โตกว่าเจ้าสมควรเรียกคุณพี่เสียดีกว่า เจ้าลืมได้อย่างไรกัน” สร้อยทองเอ่ยด้วยสีหน้าสลดยิ้มเจื่อนๆก่อนเลื่อนสายตาเปลี่ยนเป็นยิ้มบางๆที่ดูราวกับฝืนยิ้ม
“เมื่อก่อนฉัน เอ่อ ข้า ข้าเป็นยังไงข้าจำไม่ได้ สมองข้าอาจกระแทกกับอะไรสักอย่างใต้น้ำ ความจำเลยเลือนหาย ถอนหมั้นฉัน เอ่อ ข้าเถอะนะ” ข้าวเอื้อมมือจับมือสร้อยทองด้วยสีหน้าจริงจัง
“เจ้ากล่าวอันใดประหลาดแท้ เจ้ากับขุนภาพย์มีใจให้กัน เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้ สำรับเสร็จเรียบร้อย ทานเสียยังร้อนๆ” สร้อยทองเปลี่ยนมาจับมือข้าวพาไปที่นั่งหน้าสำรับอาหารมากมายที่รออยู่ ข้าวขมวดคิ้วมองน้ำเปล่าในถ้วยแก้วที่มีเปลือกมะกรูดลอยแช่อยู่
“นี่น้ำดื่มหรืออะไร”
“ลืมหมดจริงงั้นรึ ดูข้าแม่จันทร์หอม” สร้อยทองยิ้มบางๆมองข้าวที่มองตามอย่างงุนงงก่อนยกมือจุ่มล้างในถ้วยแก้วข้างตนหันรับผ้าจากทาสที่ยื่นผ้าเข้ามาเช็ดมือให้แล้วถอยกลับไป สร้อยทองหันไปแกะปลาย่างใส่จานของข้าวที่กำลังล้างมือในถ้วยแก้วแล้วหันไปสะบัดใส่ทาสที่นั่งหมอบอยู่ด้านหลังอย่างเย้าแหย่ก่อนหันมากินอาหารตรงหน้าด้วยมือ
“เปลี่ยนแปลงอีกเยอะเลย ดีไม่เกิดเป็นนางทาส ตายแน่ฉัน” ข้าวผ่อนลมหายใจยาวก้มหน้าก้มตากอบข้าวในจานมาใส่ปากอย่างไม่ถนัดมือจนสร้อยทองอมยิ้มกับท่าทางกระโดกกระเดกผิดไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
หลังจากกินข้าวปลาอาหารเสร็จข้าวปลีกตัวเดินดูเรือนไทยรอบเรือนอย่างสงสัยพลางยกมือกอดอกจับคางมองเรือนแล้วมองอีกก่อนเหล่มองชายหนุ่มคุ้นหน้าเดินเข้ามาพร้อมบ่าวติดตามสามคน ข้าวแบะปากหมุนตัวกลับก้าวขาเดินหนี
“เจ้าจะหนีพี่ไปไหนเล่าแม่จันทร์หอม” ภาพย์เดินตามอยู่ด้านหลัง
“บอกแล้วไงว่ามีพี่คนเดียว” ข้าวหยุดกะทันหันหมุนตัวกลับมาประชันหน้ากับภาพย์ที่ไม่ทันมองเกือบชนหญิงตรงหน้าในระยะใกล้ชิด ดวงตาสองคู่สบกันก่อนที่ข้าวจะละสายตาเบี่ยงไปมองข้างๆที่เป็นคูน้ำเหล่มองบ่าวติดตามด้านหลังของชายหนุ่มที่ยืนก้มหน้ายิ้มกริ่ม
“นายชื่ออะไร หน้าตาดูพูดรู้เรื่องกว่าคนเป็นเจ้านายอีกนะ” ข้าวชี้หน้าโผงผางถามแก้วที่ยืนก้มหน้าค่อยๆเงยหน้ายกนิ้วชี้มาที่ตัวเองด้วยความมึนงง ภาพย์หันมองแก้วที่ก้มหน้างุดทันทีเมื่อสบสายตาเขม็งของผู้เป็นนาย
“ข้านะรึพูดจาไม่รู้เรื่อง เจ้าเสียมากกว่าที่พูดจาเลอะเลือนหาเป็นความอันใดไม่” ภาพย์ตอบกลับพร้อมเอามือไขว้หลังทำทีสุขุมมองหน้าข้าวที่เงยหน้ามองตน
“ยิ่งฟังยิ่งจะงงเองแล้ว ก็บอกว่ามีพี่คนเดียว ใครกันแน่ที่พูดจาไม่รู้เรื่อง อีตาขุนทองนี่อย่างไงนะ บ้านช่องไม่มีอยู่หรือไง มาอยู่ได้มาทำไมนักหนาไม่ทำงานทำการหรือไง” น้ำเสียงหงุดหงิดของข้าวทำภาพย์เบิกตาโตด้วยความทึ้งกับโทสะกิริยาขวานผ่าซากของหญิงคู่หมายที่ต่างจากแต่เดิมราวกับคนละคน
“เจ้าว่ากระไรนะ!”
“โอยยยย กระไรกรรไกรไข่ผ้าไหมสองบาทยี่สิบ ได้ยินเต็มรูหูว่าถูกด่ายังทำเป็นไม่รู้เรื่อง เอาเป็นว่าฉัน เอ่อ ข้าไปทางนู้น คุณขุนทองก็ไปทางนี้นะ” ข้าวขมวดคิ้วเท้าเอวไม่สบอารมณ์ชี้มือจับตัวภาพย์ที่งุนงงให้ขยับไม่ประชันกันก่อนเดินเลี่ยงออก
หมับ!
มือซ้ายของภาพย์คว้าจับข้อมือซ้ายของข้าวให้หยุดหันหน้ามองกันและกันจนบ่าวด้านหลังต้องก้มหน้าหันหลังให้
“ยังคุยกันไม่รู้เรื่องจะหนีเสียแล้วรึแม่จันทร์หอม เจ้าคงลืมไปสิ้นว่าเจ้ากับพี่เป็นคู่หมายกัน”
“ไม่ได้หนีแต่คุยไม่รู้เรื่องก็ไม่คุยให้เสียเวลา”
“เจ้าจะเถียงพี่งั้นรึแม่จันทร์หอม”
“บอกว่ามีพี่คนเดียว ปล่อยมือได้แล้ว ไหนว่าสมัยนี้ชายต้องให้เกียรติหญิงนี่กล้าดียังไงมาแตะเนื้อต้องตัวกัน” ข้าวยกมือที่ถูกจับอยู่ขึ้นมาจ่อไปตรงหน้าภาพย์ที่ลดมือลงไม่ยอมปล่อย
“พี่กับเจ้าเป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน มากกว่านี้ก็ทำได้” ภาพย์ยิ้มกริ่มยื่นหน้าลงมาใกล้ข้าวที่ทำหน้านิ่งพยายามข่มใจสู้ตาชายหนุ่ม
“นั่นมันเมื่อก่อนไม่ใช่ตอนนี้ ฉัน ข้าเป็นคนใหม่แล้วไม่ได้ยินที่พระอาจารย์พูดหรือไง เท่ากับว่าแม่จันทร์หอมของนายไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แต่ถ้าฉันกลับบ้านได้เมื่อไหร่นายคงได้พบกับคู่หมั้นคู่หมายตัวจริงของนายอะนะคุณขุนทอง”
