บทที่ 9 ตอนที่ 7
เมื่อถึงเรือนไทยข้าวรีบวิ่งขึ้นบันไดเข้าห้องทันทีปิดประตูกระแทกหน้าบ่าวสามคนที่ถูกสั่งให้มาดูอาการของผู้เป็นนายคนที่สอง สร้อยทองมองตามก่อนมองภาพย์ที่ขมวดคิ้วยืนเอามือไพล่หลัง
“ข้าไปหารือกับออกพระสุรัสวดีเกี่ยวกับผู้ที่มีเส้นผมผิดแปลกไปจากเดิมเยี่ยงแม่จันทร์หอม ครั้งที่ข้าติดตามเจ้าคุณพ่อไปเยือนเรือนพระยาเดชาเสนาบดีกรมการคลัง แม่จันทร์หอมยังคงมีเส้นผมที่สวยงดงามดั่งเช่นแม่สร้อยทอง ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอันใดขึ้นหลังจากนั้น” ภาพย์มองหน้าสร้อยทองที่ยืนนิ่งก่อนก้มหน้าสลดใจ
“ออกพระสุรัสวดีว่าอย่างไรบ้าง”
“แม่จันทร์หอมอาจเป็นโรคที่ไม่มีผู้ใดตรวจพบ ออกพระต้องการพบแม่จันทร์หอม หากไม่เป็นการรบกวนแม่สร้อยทอง ข้าจะนำเรื่องไปบอกกล่าวเชื้อเชิญออกพระมาที่เรือนเจ้า”
“อะไรที่ทำให้จันทร์หอมกลับมาเป็นดั่งเดิม ข้ายินดีทุกประการ ขอบน้ำใจขุนภาพย์อีกครั้ง”
“ข้าเองก็อดห่วงไม่ได้เช่นกัน ข้าลาตรงนี้เสียดีกว่า แล้วข้าจะมาเยี่ยมใหม่”
“ข้าไหว้” สร้อยทองยกมือพนมระดับอกกล่าวลาชายหนุ่มที่ยกมือรับไหว้ก่อนก้าวลงเรือไปกับคนของตน
ข้าวยืนมองคนสองคนที่แยกออกจากกันที่ท่าน้ำของเรือนก่อนหมุนตัวเดินมานั่งหน้ากระจกเงามองดูตนเองก่อนผ่อนลมหายใจยาว
“จันทร์หอมหรอ นี่คืออดีตใช่ไหม ที่ฝันทุกคืนนี่ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพี่สาวในสมัยนี้สินะ แล้วย้อนมาทำไม แล้วฉันที่โลกปัจจุบันล่ะหรือว่านี่ฝัน แต่นี่ตัวฉันนะมันไม่ใช่ฝัน จะกลับปัจจุบันยังไงเนี้ย แล้ว แล้ว แล้วฉันที่สมัยนี้ล่ะหายไปไหน นี่คืออดีตของฉันจริงๆหรอ โอ๊ยจะบ้าตายอยู่แล้ว” ข้าวขมวดคิ้วกุมหัวบ่นกับตัวเองก่อนกวาดสายตามองรอบห้องอย่างไม่เชื่อสายตาแล้วลุกขึ้นเดินไปที่หีบใหญ่ที่เคยเห็นบ่าวหยิบผ้าออกมา ข้าวนั่งลงเปิดหีบมองผ้าสไบหลายผืนพับทับกันอย่างมีระเบียบหยิบรื้อออกมาทีละผืน
“ถ้าฉันย้อนมาจริง ปัจจุบันฉันตกน้ำ อดีตฉันก็ต้องตกน้ำสิจะสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ถ้าฉันย้อนมาจริงๆชุดที่ฉันใส่ต้องติดมากับตัวฉัน เอาให้รู้ว่านี่ฝันเสมือนจริงหรือฉันย้อนเวลามาในอดีตตัวเอง”
“แม่หญิงเจ้าคะ” เสียงเรียกดังเข้ามารบกวนเป็นระลอกจนข้าวเริ่มรำคาญตวาดกลับไป
“ฉันอยากอยู่คนเดียว ไปไหนก็ไป!” สิ้นเสียงโทสะของคนด้านในทำคนด้านนอกขนลุกเกรียวนั่งหมอบมองหน้ากันสามคนอยู่หน้าประตู ข้าวหยุดนิ่งเอียหูฟังสักพักก่อนหันกลับมารื้อผ้าต่อจนเจอบางอย่างที่ซ่อนอยู่ด้านล่างสุด
“นี่มัน! จริงดิ” ข้าวอ้าปากค้างสะบัดชุดว่ายน้ำวันพีชที่ใส่ครั้งสุดท้ายก่อนตื่นมาอยู่ที่นี่ เธอรีบลุกขึ้นถือชุดไว้ในมือกระชากประตูเปิดออกมองหน้าบ่าวสามคนที่เงยหน้ามองสีหน้าตื่นตระหนกของผู้เป็นนาย
“แม่ แม่หญิงเป็น เป็นอันใดหรือเจ้าคะ” รำเพยเอ่ยทักขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ก่อนที่ฉันจะตื่นมาอยู่ที่นี่ ฉันใส่ชุดนี้ใช่ไหม” ข้าวยื่นชุดจ่อมาที่หน้าบ่าวสามคน
“เจ้าค่ะ อีม้วยมันล่มเรือแม่หญิงในระหว่างการล่องเรือมาหาแม่นายเจ้าค่ะ หากขบวนเรือแม่นายไปไม่ทัน ไม่อยากนึกเลยเจ้าค่ะว่าจะเกิดอันใดขึ้น” รำพันตอบกลับอย่างมั่นใจ
“ถ้างั้นฉันย้อนเวลามาจริงๆแต่มันยังไม่กระจ่าง ม้วยงั้นหรอ ฉันต้องการคุยกับคนชื่อม้วย ไปตามหามาให้หน่อยสิ” ข้าวกำชุดไว้ในมืออย่างวิเคราะห์
“มันเสียสติพูดจาหารู้ความไม่เจ้าค่ะ” รำไพแย้งขึ้น
“เป็นบ่าวไม่ใช่หรือไง มีสิทธิ์คิดแทนนายด้วยหรอ” ข้าวย้อนกลับพร้อมปรายตามองจิกบ่าวทั้งสามที่สะดุ้งไปตามๆกันรีบก้มหน้างุดก่อนเลิกคิ้วมองท่าทางความหวาดกลัวของบ่าว “ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ข่าวลือทั่วบางบอกว่าแม่หญิงลูกสาวพระยาเดชาเสนาบดีกรมการคลังดุร้ายราวกับเสือป่าเจ้าค่ะ ซ้ำยังข้องเกี่ยวกับมนต์ดำอีกทั้งยังสิ้นชีพราวกับตายแล้วเกิดใหม่” รำพันตอบกลับพร้อมหรี่ตามองท่าทีของข้าวที่นิ่งเงียบ
“แต่ข่าวลือพวกนี้ไม่มีมูลเจ้าค่ะ ทางต้นเรือนของพระยาเดชาบอกว่าแม่หญิงจันทร์หอมกิริยางดงามไม่เช่นนั้นท่านขุนจะยอมตกลงปลงใจเป็นคู่หมายรึ” รำเพยย้อนกลับเหล่มองรำพันที่หันมองกลับ
“เอ้า! ข้าจะรู้ไหมเล่า ข้าอยู่เรือนนี้” รำพันย้อนกลับก่อนก้มหน้างุด
“เดี๋ยวนะตกลงปลงใจคู่หมาย คืออะไร ขุนไหน ถ้าไม่ได้เข้าใจผิดเกี่ยวกับคำโบราณเก่าแก่เนี้ย อย่าบอกนะว่าอีตาขุนนั้นเป็นคู่หมั้นฉันนะ!” ข้าวอ้าปากอึ้งมองตาปริบทำชุดหลุดจากมือ
“คู่หมั้นคู่หมายเจ้าค่ะ” สามเสียงประสานพร้อมกัน
“ห๊ะ!” ข้าวอุทานลั่นเรือนจนคนทั้งเรือนหยุดนิ่ง “อะไรเนี้ย อดีตก็หมั้นหมายปัจจุบันก็หมั้นหมาย ให้ตายเถอะ ฉันจะหนีจากบ่วงการคลุมถุงชนไม่ได้เลยหรือไง เวรกรรมใช่ไหมเนี้ย”
“แม่จันทร์หอม” เสียงหวานหูเรียกขึ้นพร้อมเดินเข้ามากับนางทาสที่ยกสำรับมาตั้งที่กลางเรือนมีหลังคาไม้กระโจมบังแดด “อุทานลั่นเรือนเกิดอันใดหรือ”
