บทที่ 3 3

“คุณข้าว ทำไมคุณทำแบบนี้คะ ทำไมคุณทำแบบนี้ คุณจะรับผิดชอบฉันยังไง ฮือๆ” หยดน้ำตาหลั่งรินอาบพวงแก้มสาว นี่ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสแสร้ง แต่สถานการณ์ที่หล่อนเผชิญอยู่ก็ทำให้หล่อนอยากร้องไห้จริงๆ

อายเหลือเกินที่ต้องทำตัวแบบนี้ อายเหลือเกินที่ต้องทำเหมือนไร้ยางอาย

แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อหล่อนคิดหาหนทางอื่นไม่ได้แล้วจริงๆ

เขมปัจน์ตาค้าง ไม่คิดว่าหล่อนจะกล้าทำเช่นนี้ จึงรีบผลักหล่อนออกห่าง แต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะประตูได้เปิดออกอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน

นุชนาถ…คุณยายวัย 80ปีนั่นเอง แม้สังขารจะล่วงเลยตามเวลาที่ผันผ่านไปเรื่อยๆ ทว่าแววตากลับยังฉายชัดถึงความเจ้าระเบียบและมีอำนาจอยู่ในที

แม้สีผมจะยังดำสนิทเพราะผ่านการย้อมทุกเดือน แต่ท่วงท่าการเดินก็เริ่มงกเงิ่นตามประสาคนแก่ที่เคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก

นางมองมาที่เตียงด้วยแววตาประหนึ่งตกใจระคนคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าพ่อหลานชายตัวดีจะพาผู้หญิงมาฟัดกันนัวเนียบนเตียง ซ้ำทั้งคู่ยังอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยดีนัก

“ทำอะไรกัน” ถามเสียงเฉียบ และมนสิชาก็มองหญิงชราเหมือนเห็นสวรรค์ รีบปราดลงจากเตียงมานั่งกอดขาเหี่ยวๆนั่นไว้แล้วสะอื้นไห้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

“คุณยายขา ช่วยมนด้วย เมื่อคืนคุณข้าวเมาแล้วพามนเข้าห้อง มนต้องเสียความบริสุทธิ์ไป แต่คุณข้าวกลับมองไม่เห็นคุณค่าความสาวของมนแถมยังไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดด้วยค่ะ”

“เธอไม่ต้องเกาะขาฉันก็ได้” นุชนาถบอกเสียงแข็ง แล้วมองไปทางหลานชายที่นั่งเปลือยอกอวดกล้ามเนื้อสวยๆอยู่บนเตียง “เป็นเรื่องจริงรึตาข้าว ?”

“ไม่จริงครับ” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธทันควัน โดยไม่ลืมที่จะปรายตามองมนสิชาอย่างคาดโทษ

“ถ้าไม่จริง แล้วสิ่งที่ฉันเห็นเมื่อครู่นี้คืออะไร ?”

คำถามนี้สร้างความอึดอัดใจให้เขมปัจน์ไม่น้อย เขาได้แต่อ้ำอึ้ง เพราะภาพเมื่อกี้ก็ชวนให้คนที่เห็นเข้าใจผิดได้ง่ายๆ แต่สุดท้ายเขาก็ตอบว่า

“ผมจำได้ว่าเมื่อคืนไม่ได้ทำอะไรแม่นี่แน่ๆ”

“แต่เมื่อคืนแกเมาไม่ใช่รึ ?” คุณยายส่งคำถามซักไซ้ สมเป็นอดีตผู้พิพากษาที่เคยตัดสินคดีนับไม่ถ้วน และมีบ่อยครั้งที่เผลอใช้สัญชาตญาณผู้พิพากษากับคนในครอบครัว

รวมทั้งครั้งนี้ด้วยกระมัง ?

เขมปัจน์ได้แต่เงียบ ไม่โต้กลับอะไรอีก บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบงัน จนมีอีกคนโผล่พรวดเข้ามา ตามด้วยเสียงแหลมที่ร้องถาม

“เกิดอะไรขึ้น เหมือนได้ยินเสียงคนโวยวายในห้องนี้”

อรจิรา…สาวใหญ่ซึ่งมีศักดิ์เป็นมารดาของเขมปัจน์กวาดตามองทั่วห้อง จนมาหยุดที่มนสิชาซึ่งนั่งพับเพียบน้ำตาตกอยู่ที่พื้น

“นี่มันอะไรกันคะคุณแม่”

“ถามลูกชายเธอเองสิแม่อรว่าทำอะไรไว้”

“เกิดอะไรขึ้นข้าว” อรจิราหันไปถามบุตรชายซึ่งนั่งหน้าบูดอยู่บนเตียงโดยไม่ยอมลุกไปไหน

“ถามคุณยายเองเถอะครับ เพราะถึงผมพูดอะไรไป คุณยายก็คงคิดว่าโกหกอยู่ดี”

“อ้าว” อรจิราหน้าเหรอหรา หันมามองแม่ของตนอีกครั้ง “คุณแม่ช่วยบอกอรทีเถอะค่ะ”

“ลูกชายเธอพาสาวเข้าห้องแล้วไม่รับผิดชอบน่ะสิ อ้างว่าไม่ได้ทำอะไร แต่ชายหญิงอยู่ห้องเดียวกันทั้งคืน มีรึจะอดใจไหว โดยเฉพาะคนเจ้าชู้อย่างตาข้าว”

“โธ่เอ้ย ! นึกว่าอะไร” สาวใหญ่ถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางปรายตามองไปทางมนสิชาอย่างเหยียดหยัน “เป็นธรรมดาของผู้ชายแหละค่ะคุณแม่ ที่พอเจอผู้หญิงง่ายๆแล้วก็อดใจไม่ได้”

“ที่ผ่านมาอาจไม่เป็นอะไร เพราะฉันได้เห็นข่าวว่าตาข้าวเข้าโรงแรมกับผู้หญิงคนนั้น สาวคนนี้ แต่ทุกครั้งจะทำเรื่องฉาวโฉ่นอกบ้าน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทำในบ้าน และฉันก็เห็นกับตาแบบนี้คงปล่อยผ่านเลยไม่ได้” นุชนาถพูดเสียงเรียบ

“คุณแม่จะให้จ่ายให้แม่นี่เท่าไหร่ล่ะคะ”

“ตาข้าวควรทำตัวเป็นสุภาพบุรุษรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นนะ”

“หมายความว่าไงครับคุณยาย” เขมปัจน์ออกปากถาม ก่อนจะตาค้างอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึงว่าจะได้ฟังคำตอบเช่นนี้

“เธอสองคนต้องแต่งงานกันให้เร็วที่สุด นี่คือคำสั่งของฉัน” นุชนาถประกาศก้อง เล่นเอาทุกคนในห้องถึงกับอ้าปากค้างเป็นทิวแถว ไม่เว้นแม้แต่มนสิชาที่หน้าแทบไม่มีสีเลือดเลยทีเดียว

หล่อนหวังเพียงเงินจำนวนหนึ่ง ไม่คิดจะแต่งงานกับเขมปัจน์ เพราะรู้ดีว่าหล่อนและเขาแตกต่างกัน และในโลกความจริงคงแตกต่างจากซินเดอเรลล่าสาวใช้ก้นครัวที่ได้แต่งงานกับเจ้าชายผู้สูงส่งเป็นแน่

แต่ไม่คิดเลยว่าไม้ตายที่หล่อนหยิบยกมาใช้ด้วยการตะโกนบอกใครๆว่าหล่อนและเขามีอะไรกันแล้ว จะทำให้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ไปได้

“ไม่ได้นะครับคุณยาย การแต่งงานโดยไม่มีความรัก ผมไม่ต้องการ” ชายหนุ่มรีบทักท้วงทันควัน แต่มีหรือที่น้ำคำประโยคนี้จะสั่นคลอนความคิดของหญิงชราได้

“อยู่กันไปก็รักกันได้เอง เหมือนยายกับตาไงที่โดนจับคลุมถุงชน แต่สุดท้ายก็รักกันจนมีแม่อรเกิดมานี่แหละ”

“แต่นี่มันต่างกันนะคะคุณแม่” อรจิรารีบแย้ง หล่อนไม่พอใจอย่างแรงที่จู่ๆนุชนาถจะบังคับให้เขมปัจน์แต่งงานกับหญิงไร้หัวนอนปลายเท้าคนนี้

แม้ชุดที่ผู้หญิงคนนี้ใส่จะสวยงาม แต่เนื้อผ้าก็ค่อนข้างหยาบและไม่ประณีตนัก แค่มองแว่บเดียวก็รู้ว่าเป็น‘ของถูก’

บทก่อนหน้า
บทถัดไป