บทที่ 1 Intro
“ครับ ผมจะรีบไป”
เจ้าของน้ำเสียงทุ้มเข้มบอกเรียบๆ ก่อนจะกดวางสายเพื่อตัดปัญหา เสียงถอนหายใจหนักๆ ทอดยาวออกมาทั้งจากทางจมูกที่โด่งเป็นสันรวมถึงทางริมฝีปากหนาและหยักลึก เรียวคิ้วที่เรียงเส้นสวย หนาและดำสนิทค่อยๆ ขมวดเข้าหากันจนเห็นรอยย่นที่กึ่งกลางหน้าผาก รวมถึงนัยน์ตาสีนิลที่กำลังค่อยๆ ฉายแววขุ่นมัวออกมาอย่างชัดเจน
ร่างสูงใหญ่ทิ้งกายลงพิงกับเบาะรถนิ่งๆ แม้จะเขาวางสายจากโทรศัพท์สายสำคัญไปได้สักพักใหญ่ๆ แล้วก็ตาม เขาสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อสะกดกลั้นบางอย่างเอาไว้ในอกแล้วตัดสินใจถอยรถออกมาจากลานจอดรถของร้านอาหารที่เขาเพิ่งจะขับมาจอดได้ไม่ถึงห้านาทีก่อนที่โทรศัพท์สายสำคัญสายนั้นจะโทรเข้ามาโดยที่เขายังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าออกจากตัวรถด้วยซ้ำไป แต่คำสั่งจากปลายสายที่เขาเพิ่งจะได้รับก็ทำให้เขามองไม่เห็นทางเลือกอื่นอีกแล้วจริงๆ
เอี้ยดดด!
โครมมม!!
เสียงบดเบียดของยางรถยนต์ที่ครูดไปพื้นถนนซีเมนต์ดังลั่นไปทั่วบริเวณ ก่อนที่เสียงดังคล้ายระเบิดจะดังขึ้นตามมาติดๆ เมื่อรถยนต์คันหรูพุ่งตรงไปชนเข้ากับเสาไฟฟ้าส่องสว่างข้างทางจนทำให้ผู้คนแถวนั้นแตกตื่นและวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น
“ฉันไม่ต้องรีบแล้วสินะ”
ร่างสูงพึมพำเพียงแผ่วเบา เขาตัดสินใจจอดรถตรงนั้นทันทีพร้อมกับรีบเปิดประตูรถแล้วก้าวเท้ายาวๆ ลงจากรถ ก่อนจะรีบสืบเท้าตรงไปยังรถคันที่เกิดเหตุโดยไม่รีรอ
หากแต่การเข้าถึงคนเจ็บเป็นไปได้ยากมากเมื่อทุกคนยังคงเอาแต่มุงดูเหตุการณ์ระทึกที่เพิ่งจะเกิดขึ้นอย่างไม่อยากจะให้คลาดสายตา แต่ใครเลยจะรู้ว่าวินาทีนี้ คนเจ็บต้องการได้รับการช่วยเหลือมากที่สุดต่างหาก และ ณ ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเหมาะเท่ากับชายร่างสูงที่กำลังเดินแหวกฝูงชนเข้าไปหาคนเจ็บเท่า “หมอภัค” คนนี้อีกแล้ว
“ขอทางหน่อยครับ ผมต้องการช่วยเหลือคนเจ็บ”
หมอภัครีบตะโกนบอกด้วยความร้อนใจ เมื่อตอนนี้ผ่านมาได้หลายนาทีแล้วแต่เขาก็ยังเดินเข้าไปไม่ถึงใจกลางวงล้อมด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าคนเป็นหมออย่างเขารู้ดีว่าทุกวินาทีที่กำลังผ่านไปอาจจะเป็นวินาทีแห่งความเป็นความตายก็ได้
“ผมเป็นหมอครับ ขอทางให้ผมได้เข้าไปช่วยเหลือคนเจ็บด้วย”
“ครับหมอ ทางนี้เลยครับ”
เสียงจากชายคนนึงตะโกนสวนออกมาจากด้านในวงล้อม ก่อนที่เจ้าของเสียงกระวนกระวายนั่นจะวิ่งมาคว้าหมับที่ข้อมือของหมอภัคแล้วรีบดึงหมอภัคเข้าไปหาคนเจ็บที่ร่างยังคงติดอยู่ในรถทันที
สัมผัสอุ่นๆ ที่ข้อมือทำหมอภัครีบสะบัดออกด้วยสัญชาติญาณอย่างถือตัว ก่อนจะตวัดสายตาคมคายมองกลับไปที่ชายหนุ่มคนนั้นด้วยความรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจนัก
“ผมขอโทษครับ แต่ว่าเชิญทางนี้ครับหมอ เดี๋ยวจะไม่ทัน”
น้ำเสียงรุกลี้รุกลนของชายคนนั้นทำให้หมอภัครีบสืบเท้ายาวๆ ของตัวเองตามชายแปลกหน้าคนนั้นไป แม้หางตาจะมองเห็นคราบเลือดสีแดงๆ ที่ปลายแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเอง แต่ในจรรยาบรรณของคนเป็นหมอ ชีวิตคนเจ็บย่อมสำคัญกว่า แม้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาจะไม่ชอบให้เสื้อของเขาต้องเปื้อนเลือดเลยก็ตาม
“ร่างยังติดอยู่ในรถครับ” ชายแปลกหน้าหันกลับมาบอก ก่อนจะหลีกทางให้หมอภัคได้เดินเข้าไปดูอาการคนเจ็บ
ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีคนโทรแจ้งรถฉุกเฉินแล้ว แต่ว่ายังมาไม่ถึง ดังนั้นสิ่งที่หมอภัคทำได้ก็คงเป็นแค่การดูอาการเบื้องต้นเท่านั้น เนื่องจากตัวของหมอภัคเองก็ไม่ได้มีอุปกรณ์อะไรติดมือมาเลยแม้แต่อย่างเดียว
หมอภัครีบก้าวเท้าตรงต่อไปที่รถคันเกิดเหตุ พยายามเคาะกระจกเพื่อเรียกสติของคนขับเผื่อว่าเขาหรือเธอคนนั้นอาจจะยังมีสติและพอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายวินาทีแล้วด้านในรถยังคงเงียบ ก็เดาต่อได้เลยว่าคนเจ็บคงหมดสติไปแล้ว ซึ่งหมอภัคคิดในใจไว้แค่นั้น ไม่อยากจะมองอะไรให้มันเลวร้ายไปนัก แม้สภาพรถที่บุบไปครึ่งคันจะชวนให้คิดมากแค่ไหนก็ตาม
หมอภัคเอื้อมมือหนาและขาวสะอาดของตัวเองไปดึงที่เปิดประตูรถ และก็โชคดีมากที่มันไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้ ภาพแรกที่หมอภัคได้เห็นก็คือคนขับรถคนนั้นนั่งอยู่ในสภาพที่ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยรถ สองมือห้อยตกลงไปด้านล่างตามแรงโน้มถ่วงเมื่อเจ้าของร่างไร้สติ
“เร็วครับหมอ ช่วยด้วยครับหมอ” เสียงจากทางด้านหลังยังคงเอ่ยปากเร่งไม่หยุดปาก
หมอภัคค่อยๆ ขยับร่างคนเจ็บให้หงายเอนลงกับเบาะรถอย่างเบามือ แต่เมื่อได้เห็นหน้าคนเจ็บที่แม้ว่าตอนนี้ใบหน้าขงชายคนนั้นจะมีเลือดสีแดงฉาดไหลย้อยลงมาตามรูปหน้าและเปรอะเปื้อนไปทั่วร่างกาย หมอภัคก็จำได้ดีว่าเขาเคยพบเจอกับชายคนนี้มาก่อน
สายตาคมเข้มเบิกกว้าง ก่อนจะค่อยๆ มองย้อนกลับไปด้านหลังอีกครั้ง สายลมเย็นๆ ที่เคยทำให้รู้สึกเย็นสบายแต่ว่าตอนนี้มันกลับทำให้หมอภัคขนลุกซู่ไปทั้งตัว เมื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือสิ่งที่คนเป็นหมอและเชื่อในวิทยาศาสตร์รวมถึงหลักการและเหตุผลอย่างเขาเคยคิดว่าจะไม่เชื่อจนกว่าจะได้เห็นกับตา ซึ่งวินาทีนี้คงต้องเชื่อแล้วจริงๆ เพราะว่ามันชัดเจนว่าใบหน้าของร่างในอ้อมแขนกับชายแปลกหน้าที่วิ่งไปนำทางให้เขาคือคนๆ เดียวกัน
“ช่วยผมด้วยนะครับหมอ”
