บทที่ 11 EP 02 ผู้ชายใส่สูท [1]

Sila’ s part:

SILAA STUDIO

[ผมถึงแล้วนะครับพี่ศิลา]

“เดินเข้ามาเลย เดี๋ยวกูลงไป” ผมกรอกเสียงไปตามสายพลางละสายตาออกจากเสื้อยืดสกรีนลายดอกไม้วินเทจที่เป็นคอเลคชั่นใหม่ล่าสุดที่ผมเป็นคนออกแบบเอง กำลังจะเดินออกไปเปิดประตูต้อนรับไอ้โอบเสียหน่อย แต่หันมาอีกที เจ้าตัวก็เดินเข้ามาถึงเสียแล้ว

“สวัสดีครับพี่ศิลา” ไอ้โอบยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยท่าทีตื่นเต้นปนอยากรู้อยากเห็น

ในสายตาของผม ไอ้โอบเป็นเด็กดีคนหนึ่ง มันค่อนข้างอัธยาศัยดี ที่สำคัญคือมันเป็นเด็กขยัน ถ้าผมจำไม่ผิด มันน่าจะชื่อจริงว่า ‘โอบเอื้อ’ ล่ะมั้ง เพียงแต่ผมเรียกไอ้โอบตามไอ้จอมทัพจนติดปาก

“นั่งก่อนสิ เดี๋ยวกูไปเอาน้ำมาให้”

“โอ้โห บริการทุกระดับประทับใจ” มันแซวและยิ้มกวนตีนใส่ผมทันที เห็นหน้าทะเล้นๆ ของมันแล้วผมก็ได้แต่ส่ายหัว ทำใจเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าวันนี้ผมคงต้องถูกมันกวนตีนใส่ทั้งวันจนกว่างานจะเสร็จนั่นแหละ

ไอ้โอบทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา มันวางกระเป๋าเป้เอาไว้ข้างตัว ส่วนผมก็ผละตัวออกมาเปิดตู้เย็นหาน้ำหาท่าให้มันกินสักแก้ว เพราะคงต้องรอทีมงานคนอื่นๆ อีกสักพัก

“ครับพี่ เดี๋ยวถ้าผมเสร็จธุระแล้วจะโทรบอกอีกทีก็แล้วกัน” ไอ้โอบกระซิบกระซาบคุยโทรศัพท์กับใครก็ไม่รู้ แต่ท่าทีดูมีพิรุธแปลกๆ มันยิ้มแหยใส่ผมเมื่อหันกลับมาเห็นผมเดินกลับมานั่งลงที่ฝั่งตรงกันข้าม

ผมยื่นขวดน้ำให้ไอ้โอบก่อนจะหันกลับไปมองนาฬิกา จริงๆ นี่ยังไม่ถึงเวลานัดหรอก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทีมงานของผมจะยังไม่มีใครโผล่หน้ามาเลยสักคน ไม่รู้ว่าไอ้โอบมันตื่นเต้นอะไรนักหนาถึงได้มาก่อนเวลาตั้งเกือบชั่วโมง

“มึงนั่งเล่นรอก่อนก็แล้วกัน สักพักคนอื่นๆ คงถึง ถ่ายจริงๆ ก็ใช้เวลาไม่นานหรอก”

“ครับ ผมไม่ได้รีบไปไหน”

โกหกฉิบหายเลย เมื่อครู่เหมือนจะได้ยินมันนัดกับใครไว้ไม่ใช่หรือยังไง

“ว่าแต่ผมต้องทำอะไรบ้างครับ แค่ใส่เสื้อผ้าที่พี่เตรียมเอาไว้ให้แล้วโพสต์ท่าถ่ายรูปอย่างเดียวเหรอครับพี่ศิลา”

“อืม”

“ทำไมฟังดูง่ายจัง”

“กูก็ภาวนาให้มันง่ายสำหรับมึงเหมือนกัน ไม่งั้นกูคงปวดหัวแย่” ผมว่าเซ็งๆ พูดจบก็ถือโอกาสลุกขึ้นมาดูเสื้อผ้าที่เตรียมเอาไว้อีกรอบ ก่อนจะเลือกหยิบเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีครามสกรีนลายขนนกออกมา

“หน้าที่หลักๆ ที่มึงต้องทำก็คือทำยังไงก็ได้ให้ใส่เสื้อผ้าพวกนี้ให้ออกมาดูดีจนคนอยากมาซื้อใส่ตาม”

“อ้อ ผมเริ่มรู้สึกว่ามันจะไม่ง่ายแล้วมั้งครับ” ไอ้โอบออกตัวพลางยิ้มเจื่อน แต่สายตาของมันก็ยังฉายแววความสดใสออกมาเสมอ ผมเห็นมันจ้องมองมาที่ราวแขวนเสื้อผ้าอยู่สักพักราวกับเริ่มที่จะไม่มั่นใจ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่

“ทั้งหมดนี่พี่ศิลาเป็นคนออกแบบเองหมดเลยเหรอครับ”

“อืม”

“โห เก่งชะมัด ว่าแต่ทำไมอยู่ๆ พี่ถึงอยากทำแบรนด์เสื้อผ้าเหรอครับ มีแรงบันดาลใจจากอะไร ถ้าผมไม่รู้จักพี่มาก่อน ผมคิดว่าพี่ไปใส่สูทผูกไทด์ก็น่าจะเหมาะกว่า”

ผมหลุดยิ้มเมื่อนึกภาพตัวเองใส่สูทผูกไทด์ตามที่ไอ้โอบบอก

“แล้วมึงเคยเห็นกูใส่สูทรึไง”

“ก็ไม่เคยหรอกครับ แค่พอจะจินตนาการออกว่าถ้าใส่สูทจริงๆ พี่ต้องหล่อมากแน่ๆ แต่ก็นั่นแหละเนอะ คนมันหล่อ ต่อให้เสื้อยืดกางเกงยีนพี่ก็หล่ออยู่ดี”

“หึ!” เป็นอีกครั้งที่ผมยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่ไอ้โอบเองก็เหมือนจะอาย มันชมผมแต่ตัวเองกลับอายเสียเอง ท่าจะบ้า

“ว่าแต่หล่อขนาดนี้ มีแฟนรึยังน้า” สบโอกาสไอ้โอบก็แสร้งถามขึ้นมาลอยๆ ผมกลอกตาใส่มันไปหนึ่งทีก่อนจะเมินหน้ามาอีกทาง จำไม่ได้แล้วว่ามันพยายามถามผมเรื่องนี้มากี่ครั้ง รู้แต่ว่าผมไม่เคยตอบมันสักครั้งเดียว กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้คิดจะตอบ

“อ่ะ ไปใส่มาให้กูดูหน่อย ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตรงข้ามกับครัว เดินไปมึงก็เห็น” ผมสั่งพร้อมกับส่งเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำครามสกรีนลายขนนกกับกางเกงสแล็คทรงกระบอกสีโอวัลตินไปให้ไอ้โอบเป็นการเปลี่ยนเรื่อง

“พี่ก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงทุกที ทำงี้ผมคิดเข้าข้างตัวเองอย่ามาโทษ” ไอ้โอบว่าเสียงเซ็ง พูดจบมันก็ลุกขึ้นมารับเสื้อกับกางเกงไปทันที

“มึงอยากลองเปลี่ยนเสื้อหรือกางเกงตัวอื่นก่อนรึเปล่า”

“ไม่ครับ ผมหน้าตาดี ใส่อะไรก็หล่อทั้งนั้น ตอนนี้มีอย่างเดียวที่อยากลอง” ไอ้โอบลอยหน้าลอยตาบอก มันหรี่ตาแล้วมองผมอย่างมีเลศนัย

“ผมอยากลองมีแฟนหล่อๆ ดูบ้างครับ” ยื่นหน้าเข้ามากระซิบกระซาบเบาๆ เหมือนกลัวผีบ้านผีเรือนจะได้ยิน แต่พอพูดจบมันกลับหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะหมุนตัวเดินผิวปากอารมณ์ดีออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามคำสั่ง

เฮ้อ ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ดูเหมือนมันจะดึงกลับไปเข้าทางตัวเองได้เสียหมดจริงๆ นี่ผมคิดถูกรึเปล่านะที่เอ่ยปากชวนมันมาเป็นแบบให้ ถ้าหากมองในแง่ของการทำงาน มันก็เหมือนจะดีนั่นแหละ เพราะไอ้โอบมันก็หน้าตาดีสมคำโฆษณาที่ตัวมันเองพยายามขายตัวเองให้ผมอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังขยันและไม่เรื่องมาก แต่ถ้ามองในแง่ของความใกล้ชิดหรือความสัมพันธ์ด้านอื่นๆ ผมรู้สึกเหมือนมันจะไม่ดีสักเท่าไหร่เพราะมันเหมือนจะทำให้ผมต้องปวดหัวกับความขายตัวเองเก่งของมันนี่แหละ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป