บทที่ 21 EP 03 เป็นพี่เป็นน้อง [3]
Rrrr~
ฟู่
โทรศัพท์นี่ก็ดังรู้จังหวะเวลาดีจริงๆ
“ฮัลโหล”
[มึงล่อลวงพี่ศิลาเขาถึงไหนแล้ว เขาหลงกลมึงรึยัง]
ได้ยินคำถามแล้วอยากวางสายดื้อๆ จะใครเสียอีกถ้าไม่ใช่ไอ้อินเทล
“เกือบเสร็จละถ้ามึงไม่โทรมาขัดจังหวะเนี่ย กูกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับพี่เขาเลย”
[แสดงว่ามึงกลับมาแล้วล่ะสิ กูเดาว่ามึงน่าจะกำลังนอนฝันหวานน่ะนะ]
เกลียดปากแม่งฉิบยหายเลย อยากจะเลิกคบแม่งวันละสามเวลาติดตรงที่ถ้าเลิกคบมันไปแล้วผมก็ไม่มีเพื่อนคบแล้ว นั่นแหละผมถึงต้องทนคบกับมันมาจนถึงทุกวันนี้
“มีห่าอะไรก็ว่ามา อย่ามัวแต่กวนตีน” ผมถามเข้าประเด็นและยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายปลายทาง ผู้คนมากมายเดินสวนผมไปมาทว่าผมกลับรู้สึกเหงาชะมัด
‘พี่อยากให้โอบเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้พี่’
เฮ้อ ทำไมผมต้องคิดถึงประโยคนั้นซ้ำๆ อยู่อย่างนี้ด้วยนะ
[ฮัลโหลไอ้โอบ มึงได้ยินกูป่ะเนี่ย]
“ดะ ได้ยิน แต่ไม่ชัด เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ” ผมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เพราะเมื่อครู่ผมไม่ได้มีสมาธิจะฟังมันพูดเลยสักคำเดียว
[กูถามว่ามึงจะกลับรึยัง หรือว่าจะเลยไปที่ร้านเลย]
“อ้อ เดี๋ยวกูเลยไปที่ร้านเลยก็แล้วกัน ขี้เกียจกลับไปกลับมา” ผมยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา แต่พอรู้ว่ายังเหลืออีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาต้องไปร้าน ผมก้ต้องถอนหายใจซ้ำอีกรอบ จากเดิมที่ตั้งใจว่าจะกลับไปนอนเอาแรงแต่ก็ดูเหมือนว่าผมคงนอนไม่หลับแล้วแน่ๆ วันนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่วันที่ดีของผมแล้วสินะ
[เออ กูจะได้ไม่ต้องรอ ว่าแต่มึงอย่าลืมเอาพาวเวอร์แบงค์ไปคืนไอ้เต้มันด้วยนะ กูรำคาญเวลาพวกมึงเถียงกัน]
“เออๆ กูหยิบใส่กระเป๋าเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แค่นี้ เจอกันที่ร้าน” ผมตัดบทก่อนจะกดวางสาย เหวี่ยงกระเป๋าเป้มาด้านหน้าเพื่อเปิดดูให้แน่ใจอีกรอบว่าพาวเว่อร์แบงค์ของไอ้เต้ยังอยู่ดีเพราะถ้าวันนี้ผมไม่เอาไปคืนมันมีหวังโดนมันกระทืบแน่ๆ ซึ่งก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าคงรอด เพราะพาวเว่อร์แบงค์อยู่ในกระเป๋าเรียบร้อยดี ติดตรงที่มีบางอย่างที่ไม่น่าจะมาอยู่ในกระเป๋าของผม แต่ดันอยู่นี่สิ
“บ้าฉิบ!” ผมสบถพลางถอนหายใจอย่างนึกเซ็ง ก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกหาเจ้าของเงินสดในกระเป๋าเป้ของผมที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาเอามันมาใส่ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ฮัลโหล พี่ครับ”
[นายรู้ตัวช้ากว่าที่พี่คิดไว้นะโอบ]
แสดงว่าเขารู้อยู่แล้วว่าถ้าผมเห็นเงินในกระเป๋า ผมจะต้องโทรหาเขา
“พี่อยู่ที่ไหนครับ เดินกลับไปถึงรถรึยัง”
[เพิ่งถึงเมื่อกี้น่ะ]
“รอผมแป๊บนึงก็แล้วกันครับ ผมกำลังไป”
[พี่รีบน่ะ]
“พี่ครับ”
[เก็บไว้ใช้เถอะโอบ ให้พี่ได้ทำอะไรเพื่อโอบบ้าง]
“แต่…”
[เว้นแต่ว่าโอบจะรังเกียจพี่ ไม่อยากเป็นน้องของพี่อีกแล้ว]
พูดแบบนี้ก็เท่ากับเขามัดมือชกผมน่ะสิ
“ผมรับเอาไว้ไม่ได้จริงๆ ครับพี่ มันเยอะเกินไป อีกอย่างผมไม่เคยคิดแบบนั้นกับพี่เลย พี่น้องก็พี่น้องสิ แต่พี่อย่าทำแบบนี้เลยดีกว่านะครับ” ผมพยายามอธิบาย พูดไปด้วย ก้าวเท้ายาวๆ ย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อจะไปออกที่ลานจอดรถเพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องเอาเงินไปคืนเขาให้ได้
[จะมากหรือน้อยไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก เพราะที่ผ่านมาโอบไม่เคยยินดีที่จะรับความช่วยเหลือจากพี่เลย]
“พี่ครับ”
[เอาเป็นว่าพี่รอที่รถก็แล้วกัน ถ้าโอบไม่สบายใจที่จะรับน้ำใจจากพี่ก็เอามาคืน]
ปั๊ดโธ่โว้ย!
[แต่มีข้อแม้ว่าถ้าโอบเอาเงินก้อนนั้นมาคืนพี่ เราก็จะไม่ใช่พี่น้องกันอีกแบบที่โอบต้องการ]
“ผมเคยต้องการแบบนั้นเสียที่ไหนกัน” ผมแย้งออกไปทันทีทั้งที่สองขาหยุดชะงักไปได้สักพักแล้ว
[งั้นก็รับมันไว้ อย่าให้ความตั้งใจของพี่ต้องสูญเปล่า]
“พี่ครับ”
[พี่รักเรานะโอบ ให้พี่ได้ทำหน้าที่พี่แบบที่พี่ที่ดี ได้ดูแลน้องของพี่อย่างที่พี่ตั้งใจบ้างไม่ได้เลยหรือยังไง]
ผมต้องทำยังไงถึงจะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของเขาได้กันนะ
[เอาล่ะ ตกลงว่าจะยังเอาเงินมามคืนพี่รึเปล่า ถ้าโอบยืนยันจะคืน พี่จะรอ แต่ถ้ายอมจะรับไว้ พี่จะได้รีบกลับไปทำงานต่อ]
ผมมีทางเลือกที่ไหนกันล่ะ
“ผม…รับไว้ก่อนก็แล้วกันครับ แต่สัญญาว่าจะ…”
[แค่เป็นเด็กดีก็พอ]
“ครับ ผมจะเป็นเด็กดี พี่ไม่ต้องเป็นห่วง”
[ดี ตั้งใจทำงานล่ะ ดูแลตัวเองด้วย แล้วพี่จะโทรหา อ้อ แล้วก็อย่าลืมคิดเรื่องนั้นดีๆ ด้วย พี่จะรอคำตอบ] ปลายสายตัดบทอย่างต้องการจะทุ่มความคาดหวังมาที่ผมก่อนที่จะกดวางสายไป ส่วนผมก็ถึงกับเดินไม่เป็น ต้องมองหาที่นั่งแล้วพาตัวเองมานั่งถอนหายใจทิ้งซ้ำๆ ทั้งที่ในมือยังคงถือเงินก้อนโต
มันไม่ได้เป็นแสนเป็นล้านหรอก แต่สำหรับผม การได้รับเงินจำนวนนี้มาแบบเปล่าๆ อย่างที่เรียกกันว่าให้โดยเสน่ห์หามันก็มากเกินไปอยู่ดี
