บทที่ 6 ห่วง
กริ๊ง....กริ๊ง.....
ตึง!
“.................”
บ้าชิบ!
เสียงคำรามสบถในใจชายหนุ่ม หลังได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เผลอลุกขึ้นพรวด จนเก้าอี้ขยับ ทำบลูที่นั่งอยู่อีกฝั่งเงียบกริบพูดไม่ออก ปาดน้ำตาหน้าเหวอ ตัวแข็งทื่อนึกว่าเป็นผี ยกมือท่วมหัวด้วยความตกใจ
“ ใครน่ะ... ผะ ผีเหรอ?? ”
“..............”
“ บลูขอโทษนะเจ้าคะ ที่บลูร้องไห้เสียงดังรบกวนท่าน อย่ามาหลอกมาหลอน...”
“ ผีบ้านเธอสิ “
“ เออะ.......”
พลันมาอ้าปากค้างหนักกว่าเดิม เพราะเสียงทุ้มนี้ ที่อยู่ดีๆ โพล่งแทรกออกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย หล่อนนั่งเงียบไปอึดใจเสมือนคิด มานึกได้ภายหลังก็ตอนที่คุณคอปลุกขึ้นบิดขี้เกียจเตรียมจะไปแล้ว
“ เพ้อชิบเป๋ง..”
“ คะ คุณ!! “
“ อืม ผมเอง “
บลูอายถึงขั้นลุกขึ้นพรวดเต็มความสูงมาโวยวาย นานเท่าไหร่ที่เขามานั่งฟังหล่อนคุยโทรศัพท์กับแม่เลี้ยง ป่านนี้คงได้ยินไปถึงต่อไหนต่อไหนแล้ว
“ นี่คุณมาแอบฟังฉันคุยโทรศัพท์เหรอคะ “
“ แอบบ้าอะไร เสียงคุณดังซะเหมือนพูดโทรโข่งขนาดนั้น ยืนห่างสามห้องยังได้ยิน “
“ .....................”
โอ๊ย หมอนี่!
ปากคอเราะร้ายได้โล่จริงๆ หล่อนได้แต่สบถในใจ อายจนเถียงไม่ออก ปิดปากเงียบเสมือนตัวเธอนั้นหายไปแล้วจากตรงนั้น
“ ที่เงียบนี้อายล่ะสิท่า “
“ O.O”
“ พ่อ...บลูเหนื่อยเหลือเกินจ้ะ..เฮอะ “
“ อร๊าย.. นี่คุณ! ไอ้....”
“ อย่านะ! ”
“................”
“ อย่าได้พูดคำหยาบออกมา ไม่งั้นผมจะปีนไปเล่นกับคุณเดี๋ยวนี้แหละ “
ร่างบางที่ยืนเกร็งอยู่ ถึงขั้นอ้าปากเหวอหน้าชาวาบไปเลย หลังได้ยินคำล้อเลียนนี้ อยากหาปี๊บมาคลุมหัวให้รู้แล้วรู้รอดถ้าทำได้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ด้วย ผู้ชายอะไรกัน ไหงถึงได้ต่อปากต่อคำเก่งอย่างนี้ล่ะ เอ็ดตะโรทิ้งประโยคนี้เป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนจะวิ่งพรวดเข้าไปในห้อง ปิดประตูล็อกกลอนซ้ำซะแน่นหนา
“ ฮึ่ย ไอ้คนไม่มีมารยาท! “
ครืด....เกร็ก!
“ ว่าไงนะ! “
ขณะคุณคอปตะโกนไล่หลังไปไม่ทัน ได้แต่ยืนขมวดคิ้วไม่พอใจ กลั้วหัวเราะออกมาแทนในความเปิ่นของสาวข้างห้องในตอนหลัง พลางเดินกลับเข้าไปในห้องตัวเองบ้าง ไม่เห็นว่าหญิงสาวนั้นโผล่หัวออกมาใหม่ ขมวดคิ้วไม่พอใจเขาเช่นกัน
“ ไอ้บ้า “
ยัยนี่เป็นหมอหรือ?? เขาไม่ได้สืบหรอก แต่เห็นหล่อนใส่เสื้อกาวน์มาตอนนั้นก็พอจะรู้ ไม่น่าเชื่อ คุณคอปครุ่นคิดตลบไปตลบมา ถึงบลู บุคลิกท่าทางออกไปทางเจนจัดซะอย่างนั้น กลายเป็นหมอไปได้
... เฮอะแต่ก็ไม่แน่หรอก คนเรามักมีสองด้านเสมอ
เหมือนเขาไง สามเรเทเมา แต่ไม่คิดว่าจะเป็นผู้บริหารใช่ไหมล่ะ
" กูกลับละ "
หนุ่มหน้าหวาน คำพูดคำจาช่างไม่เข้ากับบุคลิกภาพ ยืนเต็มความสูง เหวี่ยงเสื้อคลุมขึ้นบ่าบอกลาเพื่อนสนิท
" ไหนว่าจะสัก "
" เปล่า กูแค่มานั่งแก้เซ็ง "
" เฮอะ แปลกโว้ย ปกติเห็นหมึกเป็นไม่ได้ "
" มึงอย่าใส่ร้ายกูไปหน่อยเลยน่า แค่ลดตัวลงมาคบกับมึงนี่ก็ถือว่าบุญโขแล้วนะ "
" เออ! ไอ้คุณชาย ไอ้เทพบุตรซาตาน ย้ำเข้าไป อย่าให้กูเป็นลูกผู้ดีอย่างมึงบ้างก็แล้วกัน "
" ฮึ ฮ่าๆๆ ว่าแต่รถที่สั่งไปนี่จะได้วันไหน "
" โธ่ไอ้คอป ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะวะ มีเงินพร้อมจ่ายน่ะกูชอบ แต่มึงต้องรอเขาเช็ครถบ้าง ไอ้xxx เล่นสั่งรถข้ามทวีปมาส่งไทยอย่างนี้ ใครมันจะทำให้มึงได้ภายในสองวัน"
" เออๆ แค่ถามดู งั้นกูไปก่อน มีงานต้องทำ "
ตัดบทด้วยหน้าที่บูดบึ้งจัดไปทางเละเช่นเดิม แล้วเดินออกไป ปล่อยให้โจ๊ก ช่างสักพร้อมเจ้าของร้านขายบิ๊กไบค์นั่งส่ายหน้าไล่หลังเป็นพัลวัน
" มีปัญหาทุกที แวะมาหากูทุกทีสิน่า "
เหลือบตามองรูปถ่ายเด็กน้อยในเสื้อช่าง ถอนหายใจระงม
" ส่วนไอ้นี่สงสัยชะตาจะขาด "
เล่นพี่แกเอารูปมาให้โจ๊กดู ถามไถ่ประวัติที่มายาวเป็นหางว่าวซะขนาดนี้ ถ้าไม่ไปกระตุกหนวดเสือมัน ก็คงไปเหยียบหางมันนั่นล่ะ นี่ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทสมัยประถม เขาจะไม่มีวันบอกแน่ ว่าเด็กคนนี้น่ะมานั่งเล่นร้านเขาสัปดาห์มากกว่าสามครั้ง
ร่างสูงโปร่ง แต่งตัวไม่เรียบร้อยสักเท่าไหร่ ทว่าเป็นถึงระดับกรรมการผู้บริหาร ยืนสูบบุหรี่ชิลล์อยู่ข้างรถ ทำตัวเสมือนตนนั้นว่างซะเต็มประดา เหลือบตามองเข้าไปในร้านสักพลันแสะยิ้ม นับจากนี้เขามีเรื่องให้ทำแก้เซ็งแล้ว แหงนหน้าขึ้นพ่นควันบุหรี่เป็นครั้งสุดท้าย ดีดก้นมันลงถัง แล้วจึงจะเหยียบคันเร่งรถแล่นออกไป
ฝั่งด้านของบลู หลังตื่นแต่เช้า หล่อนก็ออกมาทำงานปกติด้วยสภาพขอบตาดำเช่นเดิม เพราะไม่ได้นอนทั้งคืน ทำเธอหน้ามืดมาครั้งสองครั้งแล้ว ทว่าต้องฝืนไว้ ไม่ให้ลูกน้องเห็น พยายามก้าวช้าๆ ทำตัวเหมือนตัวเองนั้นแข็งแรง ถือโอกาสใช้สมองนั่งคิด ก็ช่วงที่หล่อนว่าง
" เพราะคุณคนเดียวเลย ทำฉันหลับไม่ลง "
ทั้งอาย ทั้งกระดาก ไม่คิดว่าชีวิตจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ เมื่อคืนจวนจะเที่ยงคืน อิงอรแม่เลี้ยงเธอโทรมาหา ด้วยเรื่องเดิมๆ บอลโทรไปขอเงินหล่อนสามแสน ด้วยความเมาที่ถูกแม่แท้ๆปฏิเสธเขาจึงก้าวร้าวใส่ กลายเป็นบลูต้องมารับเคราะห์รับกรรม ฟังคำสบถของคนเห็นแก่ตัวนับครั้งไม่ถ้วน ข้อหาดูแลลูกของหล่อนไม่ดีพอ ทั้งที่นี่มันควรจะเป็นหน้าที่หล่อน ทำบลูทนไม่ไหวตอกกลับไปหลายคำ จนมีปากเสียงให้คนข้างห้องได้ยินอย่างเช่นเมื่อคืนนี้ หลังจากนั้นสิ่งที่พลาดทั้งหมดไม่ได้อยู่แค่เรื่องความสะเพร่าเก็บอารมณ์ไม่อยู่ของหล่อนอย่างเดียว ทว่า เรื่องที่เพิ่มความเครียด บอลตอนนี้ได้ข่าวว่าติดการพนันโงหัวไม่ขึ้นไปแล้ว
กริ๊งงงง....กร๊างงงง....
เสียงโทรศัพท์โหมกระหน่ำ ปรี๊ดร้องก้องขึ้นมาเหมือนต้องการจะฆ่ากันให้ตาย บลูดีดตัวขึ้นมาจากเตียงกว้าง นั่งมึนจูลสมองสักพัก จึงจะเดินเร็วๆ ไปรับ
“ ฮัลโหล”
แปลกร้อยวันพันปี โทรศัพท์บ้านจะไม่ดังยามวิกาลแบบนี้ และนี่..เที่ยงคืนกว่า ใครมีเรื่องด่วนอะไร ทว่า พอจำใจความจากปลายสายได้เท่านั้น ร่างบางแทบจะหาเสื้อคลุมมาสวมทับแทบไม่ทันเลยทีเดียว
(................)
“ ค่ะ จะไป...จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ! “
วิ่งไม่คิดชีวิตลงชั้นล่าง หักเหร่างไปทางรถของตัวเอง และถึงจะบึ่งเหยียบคันเร่งออกไปโดยไม่สนใจใคร เพราะฝีเท้าซึ่งสวมรองเท้าผ้าใบกระทบพื้นเกิดเสียงเป็นจังหวะของคนรีบ หล่อนคงไม่ทันสังเกตเห็น มีใครคนนึงยืนงง ขมวดคิ้วอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกัน
“ อะไรของเขาอีกวะ “
ยกนาฬิกาข้อมือยี่ห้อแพงขึ้นมอง ส่ายหน้าเป็นพัลวัน ขณะคนนี้ที่คิดอกุศลในด้านลบกับหล่อนอยู่แล้วคงหนีไม่พ้นไอ้น้องชายตัวดี ทว่า... คราวนี้คุณคอปคิดผิด ....
เอี๊ยด!
เสียงรถหยุดชะงักจังหวะเหยียบเบรก บลูกระโดดลงมาพร้อมกระเป๋าสะพายแค่ใบเดียว ทั้งที่ความเร่งด่วนบวกกับคำบอกเล่าที่พาหัวใจหล่อนระทึก ลวงให้หล่อนลืมแล้วทุกๆอย่าง แม้กระทั่งเปลี่ยนชุดนอนให้เป็นชุดที่ดูดี
“ อย่าเพิ่งนะตาบีม รอพี่ก่อน....”
ปากพึมพำ ตาเบิกโพลน ขณะเท้านั้นก้าว กึ่งเดินกึ่งวิ่งจนลืมเหนื่อย กัดปากแน่นเพื่อกลั้นดวงตาที่แดงก่ำไว้ สั่งน้ำใสๆ ไม่ให้ไหลลงมา
‘ เกิดสภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ตอนนี้คนไข้หัวใจหยุดเต้นครับ ‘
“ ฮึก...ไม่นะตาบีม...”
คำพูดสั้นๆ แค่นั้นของหมอ พรากความหวังของหล่อนไปด้วย ในขณะหัวใจของอีกคนกำลังหมดลม ส่วนของเธอกำลังจะระเบิดตาย
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ที่บลูเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องไอซียู รอการอนุญาตจากหมอให้เขาไปเยี่ยม ภาวนาอย่าให้น้องชายต่างแม่ของเธอนั้นเป็นอะไร ขณะสถานการณ์วุ่นวายยุ่งเหยิง ทุกวินาทีมีแต่ลุ้นกับลุ้น พยายามโทรอิงอรแม่เลี้ยงของเธอกลับไม่รับสาย ส่วนบอลนั้น
(มีอะไร)
“ บีม...บีม อาการทรุด หมอต้องการเลือดด่วน บอลต้องมาช่วยน้องนะ “
(เลือด? เลือดอีกแล้วหรือ... คราวก่อนก็เอาไปทีนึงแล้ว ไม่เห็นจะช่วยอะไร)
“ บอล! “
(พอทีเถอะพี่ พี่ก็เห็น บีมมันนอนอยู่แบบนั้นมาเป็นสิบปีแล้ว ตอนนี้..ต่อให้เอาเลือดผมกับแม่มารวมกันให้ทั้งชีวิต มันก็ไม่มีทางฟื้นขึ้นมาหรอก)
“........”
(ทำไมพี่ ไม่ถอดเครื่องบ้าๆ นั่นออก แล้วปล่อยให้มันไปสู่สุคติ ...)
“ อะ ไอ้บอล..ไอ้เด็กเวร...”
(อย่านะพี่! อย่ามาด่าผม ผมก็แค่ออกความคิดเห็นที่คิดต่าง แต่ถ้าพี่ต้องการจะให้ผมไปช่วยมัน ก็ได้พี่... ก็แค่อยากจะเตือนสติ รับความจริงสักทีก็เท่านั้น)
“ หุบปาก... บอกฉันมาคำเดียว แกจะมารึเปล่า ถ้ามาก็อย่ามัวพล่าม ฉันไม่มีเวลามายืนฟัง “
ติ๊ด!
กดตัดสายทิ้ง พร้อมปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาเป็นทาง ทาบมือเข้ากับฝาผนัง ใช้มันเป็นที่ค้ำยัน แล้วจึงจะทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ด้วยความหมดแรง ก้มหน้าผสานมือเข้ากันนิ่ง บีบมันไม่กลัวว่ากระดูกจะหัก ก่อนปล่อยโฮออกมาไม่อายใคร
“ ฮึก..บ้าจริง ไอ้พวกชั่ว! ฮือๆๆ “
ฝั่งด้านของคุณคอป หลังจากที่เห็นพฤติกรรมแบบนั้นของสาวข้างห้อง ตาวงรีรูปทรงเหยี่ยวก็ข่มไม่หลับไปโดยปริยาย ทรยศที่นอนโดยการลุกขึ้นมานั่ง เดินกลับไปกลับมาระหว่างระเบียงกับในห้อง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมต้องมาคอยยืนสังเกตแสงไฟจากช่องลม ที่ปกติทุกๆ คืน ข้างห้องจะรอดออกมาให้เห็นแบบนี้ ทว่า ตอนนี้กลับมืดสนิท บ่งบอกให้รู้ว่าในนั้นไม่มีใครอยู่เลยสักคน เหลือบตาไปมองนาฬิกาตรงผนังแล้วเลิกคิ้วขึ้น
“ ฟู่วว ไอ้คอป นี่มึงทำอะไรอยู่?? ”
หาคำตอบจากตัวเอง พลางทิ้งตัวลงไปนอนอย่างเดิม แล้วแค่นหัวเราะ
