บทที่ 7 ความสูญเสีย
หญิงสาวที่อายุอารามไม่ได้ห่างไกลไปจากบลูเท่าไหร่นัก ทว่า กลับมีความคิดที่โก้กว่า วางแผนจับได้สามีรุ่นราวคราวพ่อไม่สนว่าเป็นหม้ายหรือทำใครบางคนต้องทุกข์ใจ มีเพียงเจตจำนงอยากจะได้สมบัติเขาเท่านั้น ครั้งนึงเคยทำตัวดีมาก อาจจะถูกสร้างมาเพื่อให้ตายใจ ทว่า อย่างไรเสียหล่อนก็พลาดท้องลูกของตัวเองอยู่ดี และเพราะหล่อนยังเสียดายความสาว หรือสิ่งที่เกิดมันไม่ได้อยู่ในแผนที่วางไว้ หล่อนจึงแสดงธาตุแท้ออกมา อิงอรพยายามสรรหาถิ่นทำบาป หวังจะเอาเด็กออก แอบหนีไปทำแท้งเกือบสำเร็จโชคดีสามีจับได้ เพราะความรักที่มีต่อหล่อน หรือเรียกได้ว่าหลงเด็กจนโงหัวไม่ขึ้น หล่อนทำผิดขนาดนี้ยังมองว่าดี ปราโมทย์กลายเป็นคนเห็นกงจักรเป็นดอกบัวนับตั้งแต่ได้แต่งงานดับหล่อนเป็นต้นมา ลงทุนส่งบุตรสาวคนเดียวไปเรียนต่อถึงเมืองนอกเพราะแค่ต้องการจะตัดความรำคาญ ระงับสงครามเย็นภายในครอบครัวระหว่างเมียใหม่กับลูกสาวเท่านั้น ความหยิ่งยโส บาดหมางภายในจิตใจบลูคราวนั้น ยังฝั่งลึกเป็นตราบาปไม่จางหายมาถึงทุกวันนี้ เธอยังคงคิดเสมอ หากระงับสติไม่ใจร้อนจนใช้อารมณ์วัยรุ่นตัดสินเหนือเหตุผล พ่อของเธอคงไม่ต้องมาตายแบบนี้
.....ที่อยู่ๆก็ตาย ด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทั้งที่ปราโมทย์เป็นคนออกกำลังกายไม่เว้นวัน...
หลังจากปราโมทย์สิ้นใจได้ไม่นานอิงอรก็มีรักครั้งใหม่ ทันทีโดยไม่แคร์สังคม และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากหญิงร่านสวาทอย่างหล่อนจะเจอคนที่นิสัยเดียวกันอย่างกับแกะ วสันต์ สามีคนล่าสุด ทว่า อายุน้อยกว่า จะมาร่วมมือช่วยกันผลาญสมบัติของพ่อบลูไม่ละอายใจ เพราะติดการพนัน กรรมทั้งหมดที่บลูกำลังรับผลอยู่นี้ คงจะโทษใครไม่ได้จริงๆ นอกจากความเขลาของพ่อตัวเอง!
(ฉันจะไปพรุ่งนี้ คืนนี้ฉันไม่สะดวก)
หลังจากบลูพยายามติดต่ออิงอรอยู่นานหลายรอบ เพื่อจะบอกข่าวน้องชายในสถานะที่หล่อนควรจะรู้ แต่ไม่คิดเลยว่าคำพูดเหล่านี้จะหลุดออกมาจากปากของผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าแม่อย่างหล่อน
“ แต่แม่คะ น้องอาการหนัก...”
(ฉันก็เห็นมันหนักอยู่แบบนั้นทุกวัน)
“ ห๊ะ...............”
เธอช่างพูดราบเรียบเสมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร อ้างติดงานทั้งๆ ที่รู้แก่ใจว่าทำอะไรอยู่
(เอาเป็นว่า ขอบใจแกมากที่อยู่ดูแล ขอโทษด้วย วันนี้ฉันงานยุ่งไม่สะดวกจริงๆ)
ทั้งๆ ที่ลูกตัวเองตกอยู่ในอันตรายน่ะเหรอ เขาอาจจะไม่มีสิทธิ์รอดก็ได้นะ ทำไมล่ะ ทำไมถึงได้ใจดำกันแบบนี้ นี่ตอนที่หล่อนคลอดลูกออกมาไม่ได้รักเขาเลยใช่ไหม....หัวใจผู้หญิงคนนี้ทำด้วยอะไรกัน!
....เลือดเย็น! ....
บลูคิด ขบกรามเข้าหากันจนปูด ข่มน้ำตาหยดที่ร้อยลงมาอาบแก้ม ปาดมันออกลวกๆ ก็ตอนที่ปลายสายนั่นวาง เม้มปากสนิทเป็นเส้นตรง สภาวะหัวใจเธอตอนนี้อยู่ในช่วงระบมเต็มที่ จะเป็นยังไง หากผ่านคืนนี้ไปน้องชายไม่อยู่กับเธอแล้ว
“ สาบานเลยอิงอร หากบีมเป็นอะไรไป ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้แกมีความสุขอยู่อย่างเช่นทุกวันนี้...”
ตีสี่....กับดวงตาแดงก่ำทั้งนอกและใน บ่งบอกเธอนั้นผ่านการร้องไห้มาหลายครั้งต่อหลายครั้ง จนช้ำไปหมดแล้ว บลูนั่งตัวคู่มือผสาน นับตั้งแต่ที่มาถึง จวนตอนนี้เกือบจะสี่ชั่วโมง หล่อนก็ยังคงอยู่ที่เดิม
แอด...
ประตูห้องไอซียูเปิดออก หญิงสาวปรือตาช้อนมอง แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ยังต้องฝืนไว้ ผสานตาประสบเข้ากันกับคนมาใหม่ในชุดกาวน์ที่ปิดหน้าไปซะครึ่ง เลยเผยให้เห็นแววตาที่ส่งมานั้นอย่างชัดเจน มันทั้งสิ้นหวัง และเจือปนไปด้วยความสงสาร จนกระทั่งถึงวินาทีที่ริมฝีปากของคนจะบอกไม่ทันขยับ ผีเกิดเห็นผีเพราะหล่อนเองก็เป็นหมอ ในใจกรีดร้องก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ ไม่จริง!!! “
ฝ่ามือน้อยๆ ขยุ่มลงตรงไหล่ เขย่าหมอหัวสั่นคลอน น้ำตาจากไหนไหลลงมามากมายก็ไม่รู้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เหือดแห้งไปหมดแล้ว
“ ใจเย็นนะครับ “
“ บอกฉันสิคะ ว่ามันไม่จริง! หมอยังช่วยได้อยู่ “
“ หมอช่วยอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่คนไข้ไม่ตอบสนอง ทางเราเลยจะขอให้คุณถอดสายออกซิเจน “
“ หมอโกหก!!! “
“ คุณ... “
สุดท้ายต้องกลายเป็นหมอที่ยื่นมือไปคว้าไว้แทน หลังจากที่บลูทิ้งร่างตัวเองหล่นลงไปนั่งกับเก้าอี้ กัดปากสั่นระริก ปล่อยเครื่องหน้าให้ยับยู่ยี่ สะอื้นไห้สุดตัว
“ หมอ... ฮือๆๆ ฉันไม่เหลือใครแล้วนะคะ “
บีบมือหมอแน่น ช้อนตาขึ้นไปขอความเห็นใจ ทั้งๆที่รู้มันหมดหนทางแล้ว
“ ผมขอโทษ.. ผมช่วยไม่ได้.... “
“ ได้สิ...หมอต้อง..ช่วยหนู..”
ความน่าสงสารแผ่ซ่านไปทุกเส้นของความรู้สึก กลายเป็นว่าหมอ ที่คิดจะเดินมาบอกเจ้าของไข้ให้ถอดสายชีพจรในทีแรก นึกว่าหล่อนนั้นทำใจได้บ้างสักกึ่งนึง ต้องมาปลอบใจแทนซะเอง ทว่า เวลาผ่านไปสักพัก ไม่นานบลูสงบนิ่ง ปล่อยฝ่ามือหมอ แล้วนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวตามลำพัง ถามตัวเองไปมาซ้ำๆ นี่ใช่ไหมความเจ็บปวดของคนที่สูญเสีย ภาพเหตุการณ์ย้อนกลับไปในวันเก่าๆ ช่วงที่หล่อนทำงานเป็นสัตวแพทย์ มีหน้าที่คอยดูแลและรักษาสัตว์ วันนึงหากช่วยไม่ได้ขึ้นมา นี่ใช่ไหมคือบทเรียน... วันนี้เธอเข้าใจมันแล้ว ความหมายของคำว่าหมอช่วยไม่ได้ ก็คือช่วยไม่ได้จริงๆ แม้พยายามจะช่วยสักแค่ไหน อยากจะชุบชีวิตขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ ถ้าหมอทุกคนมีเวทมนตร์ นั่นคือจรรยาบรรณที่หล่อนถูกสอนมาตลอด และความรู้สึกของผู้สูญเสียในวันนั้น ก็คงจะเหมือนเธอในวันนี้
...ที่มีรสชาติไม่ต่างกัน...
บลูใช้เวลานั่งทำใจไม่ถึงสิบนาที จึงจะตัดสินใจลุกเข้าไปหา สภาพน้องชายที่นอนหงายเหยียดเท้าตรง มือเบาไร้ความรู้สึกถูกวางไว้ข้างๆ ตัว นี่คือวัฏจักรของสิ่งมีชีวิต เมื่อร่างกลายเป็นศพก็สุดแล้วแต่ใครจะทำลาย หมอคนเดิมพยักหน้าให้บลู เหมือนจะซ้ำเติมให้รับรู้ว่าบีมนั้นไม่มีทางกลับมาแล้ว และให้หล่อนเป็นคนถอนออกซิเจนด้วยตัวเอง นั่นยิ่งทำให้บลูตอนนี้หมดแรงไม่ต่างกับร่างถูกฉีดยาชา ก้มหน้าลงมองหน้าน้องชายเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมฝ่ามือยื่นไปแนบหน้า พยายามอย่างมากกลั้นน้ำตาไม่ให้ร่วงไหล
“ ไปดีนะบีม...”
บอกลาเสียงเบาราวกับสายลม ข่มความฝืนไว้ด้วยการหลับตา แล้วถึงจะดึงสายชีพจรออก
ปี๊ดดดดดดด.................
ก่อนเสียงนี้จะทำหัวใจหล่อนสลาย ฟุบหน้าลงสะอื้นกับร่างไร้วิญญาณ
" ลาก่อนนะบีม ถ้าชาติหน้ามีจริง บีมเกิดมาเป็นน้องพี่อีกนะ.. "
