บทที่ 2 2

หญิงสาวเหลือบตามองคนตัวใหญ่ เขาสูงมากจริงๆ สูงจนผู้หญิงที่มีส่วนสูงแค่162เซนติเมตรอย่างหล่อนดูตัวเล็กจ้อยเหมือนเด็กไปเลย

“นี่ไม่ใช่งานเลี้ยงที่ฉันจะเต้นรำกับใครก็ได้”

“งั้นหรือครับ” เสียงทุ้มบ่งชัดว่าเสียดาย แต่แล้วก็ต้องผงะเมื่อหล่อนฉีกยิ้ม

“แต่สำหรับคุณหนูแวววี่อย่างฉัน ไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรมากมาย ตกลง...ฉันจะเต้นรำกับคุณสักเพลง” มือเรียวคว้าหมับที่ ท่อนแขนแกร่ง จัดการคล้องแขนเขาอย่างไม่สนใจสายตาของหลายคนที่มองมา ขณะที่ชายหนุ่มพาหล่อนมาถึงกลางสนามหญ้า มือร้อนแตะเอวเล็กบาง มืออีกข้างจับประสานมือกับหล่อน แล้วพาก้าวขยับขาไปตามจังหวะเพลงช้าๆที่กำลังบรรเลงอย่างหวานซึ้ง

ใต้แสงตะวันยามเย็นที่สาดส่องลงมา ก่อให้เกิดมนต์ขลังอย่างน่าประหลาด นัยน์ตาสีฟ้าที่มองลงมามีเพียงหล่อนเท่านั้นที่ฉายชัดในแววตา

จะด้วยกลิ่นกรุ่นๆของหญ้าที่เพิ่งตัดใหม่ๆ หรือเพราะหนุ่มหล่อตรงหน้าคนนี้ที่มีเสน่ห์เหลือร้าย ทำให้ก้อนเนื้อตรงอกข้างซ้ายของ  แวววิวาห์กระหน่ำราวจะปะทุออกมาข้างนอก

หลายคนหยุดการเคลื่อนไหว ต่างวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นเจ้าสาวคนสวยเต้นรำกับชายหนุ่มคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าบ่าวของตัวเอง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามปราม

เสียงดนตรีที่บรรเลง สายลมที่พัดผ่าน เต้นรำบนพื้นพรมธรรมชาติที่ประกอบด้วยต้นหญ้าเล็กๆมากมาย

หล่อนชอบความท้าทาย มักแสดงกิริยาก๋ากั๋นจนคนรอบข้างปวดหัว แต่มาครั้งนี้แวววิวาห์กลับประหม่าจนไหล่บางสั่นนิดๆ

“คุณกลัวผม.. ? ”

“ไม่ค่ะ คนอย่างฉันไม่เคยกลัวใคร” หญิงสาวตอบเสียงแข็ง ดวงตาเจิดจรัส ขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบยิ้มขัน...หล่อนตัวเกร็งขนาดนี้ ยังว่าไม่กลัวอีกอย่างนั้นหรือ ปากกับความรู้สึกช่างสวนทางกันซะจริงๆ

“คุณไม่เคยกลัวใครจริงๆเหรอ ผมอยากพิสูจน์คำพูดของคุณประโยคนี้”

“หมายความว่าไง ?” คิ้วเรียวขมวดฉับ แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากแซ็ค แขนเรียวก็ถูกกระชากอย่างแรงด้วยฝีมือของภาคภูมิที่กำลังตีหน้าถมึงทึง

“มาเต้นรำกับผู้ชายคนอื่น คิดจะฉีกหน้าผมหรือไงแวววี่”

“เห็นคุณยุ่งๆ ทิ้งให้ฉันอยู่โดดเดี่ยว ถ้าฉันคิดจะสนุกกับใครบ้าง คุณจะเดือดร้อนทำไม”

“ต้องเดือดร้อนสิ คุณเป็นเจ้าสาวของผมนะแวววี่”

“อย่ามาพูดจาข่มฉัน ถึงเราจะแต่งงานกัน แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์ บงการฉัน เพราะชีวิตเป็นของฉัน คุณเข้าใจมั้ย” หญิงสาวพูด         ลอดไรฟัน นี่เพราะกลัวตัวเองจะเสียหายหรอกนะ ถึงไม่กล้าตะโกนดังๆให้คนอื่นได้ยิน

“แวววี่ !” ภาคภูมิถลึงตากว้างอย่างไม่พอใจ ก่อนจะตวัดสายตาไปมองร่างสูงสง่าซึ่งสวมชุดสีดำสนิททั้งตัว “แล้วแกเป็นใครวะ ใส่ชุดสีดำ จะแช่งให้งานวิวาห์ฉันล่มหรือไง”

“ไม่ใช่เพื่อนของคุณหรอกเหรอคะ” แวววิวาห์เอ่ยแทรก

“ไม่ใช่ ผมมั่นใจว่าไม่รู้จักไอ้หนุ่มตาฟ้านี่แน่ๆ” ภาคภูมิชี้หน้าแซ็คอย่างไม่เกรงใจ “ออกจากงานของฉันไปซะ”

“คุณก็ไม่ใช่คนรู้จักของฉันเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคุณมางานนี้ได้ไง” หญิงสาวถามอย่างแปลกใจ ขณะที่แซ็คก้มศีรษะลงนิดๆ พูดว่า

“แค่อยากมาดู...ผู้หญิงที่มัดหัวใจคุณภาคภูมิได้ก็เท่านั้น ผมขอตัวกลับก่อนล่ะ”

ไม่ต้องรอให้ถูกไล่ซ้ำสอง แซ็คก็เดินตัวตรงออกจากงานไปทันที แม้จะมีสายตาหลายคู่มองตามอย่างให้ความสนใจก็ตาม

“ผมคิดว่าคุณหลงเสน่ห์ไอ้คนแปลกหน้านั่นซะอีก” ภาคภูมิหันมาพูดกับหญิงสาว

“เขาก็หล่อดีนี่ค่ะ”

“แต่ผมไม่ชอบให้คุณใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนในวันแต่งงานของเรา”

“เอ๊ะ ! ฉันไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของคุณนะ” หล่อนเริ่มขึ้นเสียง ทว่าเหตุการณ์ยังไม่ทันจะบานปลายใหญ่โต ผู้ชายร่างอ้วนเหมือนหมีก็วิ่งตุ้บตั้บเข้ามา บอกเสียงระล่ำระลักว่า

“นายอำเภอมาแล้วครับ ผมเชิญไปนั่งพักในตัวบ้านแล้ว เชิญคุณทั้งคู่ไปจดทะเบียนสมรสกันเถอะครับ”

แวววิวาห์หันไปมองผู้ที่กำลังจะมาเป็นสามีของหล่อน ก่อนจะสะบัดหน้าเดินอาดๆเข้าไปในบ้านเป็นคนแรก ตามด้วยภาคภูมิที่เดินเนิบนาบอย่างใจเย็นสมเป็นผู้ดี

การจดทะเบียนระหว่างแวววิวาห์กับภาคภูมินั้น มีสายตาของแขกเหรื่อมองมาอย่างให้กำลังใจ รวมทั้งบิดาของหล่อนที่คอยยืนอยู่ใกล้ๆหนุ่มสาวไม่ยอมห่าง

“เซ็นชื่อเสียสิลูก” วิธานเอ่ยเร่งเร้าเมื่อภาคภูมิเซ็นชื่อตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่แวววิวาห์ไม่ยอมหยิบปากกาเสียที

“ค่ะพ่อ...” หญิงสาวขบเม้มริมฝีปากจนแดงช้ำ ในที่สุดหล่อนก็หนีไม่พ้นกรงทองที่บิดามอบให้ อีกไม่นานหล่อนจะได้ชื่อว่าเป็นหญิงที่มีสามีแล้วอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หล่อนไม่มีโอกาสได้เลือกคนที่รักด้วยตัวเอง จบแล้วสินะ...ชีวิตสาวโสดที่แสนจะมีความสุข

ดวงตากลมหวานเหลือบมองนายอำเภอที่นั่งอยู่ตรงหน้า     ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วค่อยๆจรดปลายปากกาลงบนแผ่นกระดาษสีขาว แต่ยังไม่ทันได้เซ็นชื่อตัวเองลงไปในนั้น เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ไฟไหม้ ไฟไหม้โรงจอดรถ!”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป