บทที่ 12

“บังอาจ! มาทำตัวลุกลี้ลุกล้นต่อหน้าเรา เจ้าเอากฎระเบียบไปไว้ที่ใด!” ฮ่องเต้ตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว ตรัสถามว่า "เกิดเรื่องอะไรขึ้น ค่อยๆ พูดออกมา!"

“ฝ่าบาท พระสนมหรงเฟย เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

พอคำพูดนี้หลุดออกมา สีพระพักตร์ฮ่องเต้พลันเปลี่ยนไปทันที “อะไรนะ! ใครก็ได้ ยกเกี้ยวไปตำหนักฉางเล่อ!"

เขาทางหนึ่งลุกขึ้นอย่างร้อนใจ ทางหนึ่งก็หันศีรษะกลับมาพูดว่า “จ้านหวางเฟย เจ้าตามไปดูกับข้า!”

“เพคะ”

ซ่งหวานหว่านกับเจียงอู๋วั่งสบตากันแวบหนึ่ง ต่างคนต่างมองออกถึงแววตาที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของนัยน์ตา

นางต้องติดตามไปแน่ นางไม่มีทางปล่อยโอกาสใดๆ ก็ตามที่จะได้เข้าใกล้ ‘เห็ดหิมะสามพันปี’ ไปอย่างเด็ดขาด

ระหว่างทาง ขันทีน้อยเดินไปพลางก็เล่าอย่างรัวเร็วไปพลาง “เมื่อครู่พระสนมกำลังนอนอาบแดดอยู่ในลานเรือน ไม่ทราบเพราะเหตุใด จู่ๆ ท้องกลับปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง ได้ยินนางกำนัลน้อยบอกว่าพระนางทรงตกเลือดแล้ว”

ครั้นฟังถึงตรงนี้ ท่าทีของซ่งหวานหว่านพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม โรคบ้างานของนางกำเริบขึ้นมาแล้ว

นางกล่าวว่า “ฝ่าบาท ราชรถของพระองค์เคลื่อนที่ช้าเกินไป หม่อมฉันขอตามกงกงน้อยท่านนี้ล่วงหน้าไปดูพระสนมหรงเฟยก่อน เพราะเวลาคับขันนัก!”

“อนุญาต! รีบไปเร็ว ช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า!”

“เขาไม่ต้องไป เปิ่นหวางจะพาเจ้าไปเอง รวดเร็วกว่า” เจียงอู๋วั่งกล่าวจบ ก็ดึงมือเล็กของซ่งหวานหว่านขึ้นมา ก่อนจะเหยียบลงบนก้อนอิฐสีเขียว แล้วเหินกายขึ้นไปทันที

ครั้นซ่งหวานหว่านเห็นเช่นนี้ก็ลอบเคลื่อนที่ด้วยตนเองไม่สร้างภาระให้เจียงอู๋วั่งเช่นกัน วิชาตัวเบาของนางสมควรไม่ด้อยไปกว่าเจียงอู๋วั่ง เพียงแต่นางไม่คุ้นเส้นทาง เลยต้องมีคนนำทางถึงจะได้

ภายในไม่กี่อึดใจ คนทั้งสองก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูตำหนักฉางเล่อแล้ว

“พระสนมหรงเฟยอยู่ที่ใด รีบพาข้าไปดูนาง!” ซ่งหวานหว่านรีบส่งเสียงถามออกมาอย่างรวดเร็ว

นางกำนัลและองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกถูกทำให้ตกใจจนสะดุ้งโหยง หลังเห็นเงาร่างของเจียงอู๋วั่งชัดเจน ก็รีบทำความเคารพทันที

“ไม่ต้องมากพิธี นำทาง! อย่าทำให้หวางเฟยช่วยชีวิตคนล่าช้า”

“เพคะ!”

นางกำนัลลุกขึ้นมาอย่างลนลาน แล้วกล่าวอย่างรวดเร็ว “หวางเฟยเชิญทางนี้เพคะ”

ซ่งหวานหว่านเดินตามหลังมาอย่างกระชั้นชิด เข้าไปในห้องบรรทมของหรงเฟย

บนแท่นบรรทม หรงเฟยกำลังกรีดร้องครวญครางไม่หยุด เจ็บจนเหงื่อออกเต็มใบหน้า ที่ใต้ร่างนางมองเห็นรอยเลือดแดงฉานอย่างชัดเจน ในอากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

หมอหลวงยังคงจับชีพจรอยู่ข้างกาย หัวคิ้วขมวดมุ่น หลังซ่งหวานหว่านเข้าไปก็คร้านจะสนทนาด้วย คว้าคอเสื้อหมอหลวงแล้วโยนออกไปที่หน้าประตูทันที พละกำลังที่ใช้ช่างทำให้คนหวาดหวั่นนัก

“ไปๆ ไสหัวไป! เวลาเช่นนี้ยังมัวจับชีพจรอยู่ได้ ไอ้หมอกำมะลอ!”

หมอหลวงถูกโยนจนหัวหมุนตาลาย หลังคลานขึ้นมาได้ก็พูดอย่างโมโหว่า “เจ้าเป็นใครกัน ถึงกับกล้าบุกเข้ามาในตำหนักฉางเล่อ เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ!”

เจียงอู๋วั่งนั่งอยู่บนรถเข็น พลางเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “นางบอกให้เจ้าไสหัวออกไป เจ้าหูหนวกหรือ”

หมอหลวงคิดจะด่ากลับไปตามสัญชาตญาณ แต่พอหันหน้าไป ก็เผชิญกับเงาร่างของจ้านอ๋อง จึงตกใจจนเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นทันที “ถวาย…ถวายบังคมท่านอ๋อง! กระหม่อมจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้! ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

“ออกไปรอข้างนอก คอยดูว่านางมีอะไรจะสั่งกำชับหรือไม่”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หมอหลวงล้มลุกคลุกคลานไปยังปากประตู ไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย

ด้านใน ซ่งหวานหว่านพลิกดูเปลือกตาของหรงเฟยอยู่ชั่วครู่ คิ้วขมวดกล่าวว่า “นี่เป็นอาการถูกพิษ โชคดีที่พิษไม่รุนแรง ยังพอช่วยได้”

กล่าวจบ นางก็ล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบเข็มเงินชุดหนึ่งออกมาจากแหวนอวกาศ

ช่วงที่พลิกหมุนข้อมือ การเคลื่อนไหวรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

ภายในเวลาอันรวดเร็ว  จุดจงหว่าน จุดเน่ยกวน จุดไท่ชง จุดไท่ซีและจุดอื่นๆ อีกหลายจุดที่อยู่บนร่างหรงเฟย ล้วนถูกปักด้วยเข็มเงินทั้งสิ้น

นางยกมือขวาขึ้นคลึงเข็มเงินเล่มที่ปักอยู่บนจุดจงหว่านของหรงเฟยไปมา ขณะที่ขยับคลึง ก็ค่อยๆ ถ่ายเทกำลังภายในส่งเข้าไป

ทำติดต่อกันไม่ถึงสองนาที ซ่งหวานหว่านก็เหงื่อออกจนเต็มศีรษะ

ยามนี้ ความเจ็บปวดของหรงเฟยได้เลือนหายไปแล้ว นางลืมตาขึ้นมา ขณะพบว่าคนที่ช่วยเหลือตนเองเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง ก็พลันตกตะลึงไปเล็กน้อย

แต่เพียงไม่นานนางก็สงบลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาแดงเรื่อ “ขอบใจเจ้ามาก เจ้าชื่ออะไรหรือ เจ้าช่วยข้ากับลูกไว้ ข้าต้องตอบแทนบุญคุณเจ้าอย่างแน่นอน”

“ข้าชื่อซ่งหวานหว่าน ท่านอย่าเพิ่งพูดอะไร ถนอมแรงไว้ก่อน”

หลังผ่านไปครึ่งก้านธูป ซ่งหวานหว่านก็ถอนเข็มเงินออกแล้วเก็บกลับไป

ระหว่างที่เดินออกมาข้างนอก นางรู้สึกราวกับร่างกายกำลังจะล้มพับ เหนื่อยจนทรุดตัวลงนั่งแปะกับพื้นเลยทีเดียว

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เจียงอู๋วั่งผลักรถเข็นมาหยุดลงตรงข้างกายนาง

“ข้าไม่เป็นไร ก็แค่สิ้นเปลืองพลังมากไปหน่อย เหนื่อยน่ะ” ซ่งหวานหว่านส่ายศีรษะ กล่าวอีกว่า “ลูกของพระสนมหรงเฟยปลอดภัยแล้ว”

เจียงอู๋วั่งไม่เอ่ยอะไร ทว่ายกมือขึ้นมาถ่ายเทกำลังภายในบางส่วนส่งให้นาง ทำให้นางค่อยๆ ฟื้นตัวกลับคืนมา

เวลานี้ฮ่องเต้เองก็รุดมาถึงแล้วเช่นกัน พอได้ยินก็ตรัสอย่างมีความสุขว่า “วิชาแพทย์ของจ้านหวางเฟยช่างยอดเยี่ยมโดยแท้ แล้วตรวจหาสาเหตุที่หรงเฟยเกือบจะแท้งลูกออกมาได้หรือยัง”

“พระสนมทรงถูกพิษเพคะ แม้ว่าเด็กจะปลอดภัยแล้ว แต่ร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก จำเป็นต้องได้รับการบำรุงและพักผ่อนอย่างสงบ”

“อาการของหรงเฟยเจ้ารู้ดีที่สุด เรื่องบำรุงร่างกายของนางก็ฝากเจ้าด้วยแล้วกัน ต้องใช้สมุนไพรตัวไหนบ้าง เจ้าก็บอกมาได้เลย เราจะให้คนจัดเตรียมทั้งหมดให้”

“เช่นนั้นให้หมอหลวงจัดเตรียมสมุนไพรให้หม่อมฉัน แล้วหม่อมฉันจะเป็นคนต้มยาเอง หม่อมฉันต้องการตู้จ้ง ต้วนซวี่ เออเจียว…แล้วก็เห็ดหิมะหนึ่งดอก จำนวนปียิ่งสูง ผลลัพธ์ยิ่งดี”

ซ่งหวานหว่านพูดตัวยาสมุนไพรจีนสิบชนิดออกมารวดเดียวจบภายในอึดใจเดียว สุดท้ายยังไม่ลืมเพิ่มเห็ดหิมะเข้าไปด้วย

หมอหลวงที่กำลังรอคอยอยู่อีกด้านเอ่ยขึ้นว่า “ทูลฝ่าบาท นอกจากเห็ดหิมะแล้ว สำนักหมอหลวงตัวยาอื่นๆ มีหมด กระหม่อมจะรีบไปหยิบมาเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ทรงพยักหน้า ตรัสว่า “ในห้องเก็บของของข้ามีเห็ดหิมะอยู่หนึ่งดอก อายุสามพันปี จ้านหวางเฟย เจ้าว่าใช้ได้หรือไม่”

“ใช้ได้เพคะ” ซ่งหวานหว่านกล่าวอย่างสงบ

“เสี่ยวเต๋อจื่อ ไปนำเห็ดหิมะมา”

“พ่ะย่ะค่ะ! บ่าวน้อมรับพระบัญชา”

ซ่งหวานหว่านไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ของพวกเขา กล่าวเพียงว่า “ฝ่าบาท ตัวยาพวกท่านจัดเตรียมกันไปก่อน หม่อมฉันขอไปเดินชมรอบๆ ลานตำหนักสักหน่อยเพคะ”

“ไปเถิด”

ซ่งหวานหว่านเดินอยู่ในลานตำหนักเป็นเวลานาน สุดท้ายก็พบต้นยี่โถสองต้นอยู่ในมุมอับสายตามุมหนึ่ง

สีหน้านางอึมครึมลง ถามขึ้นว่า “เหตุใดพระสนมถึงปลูกปลูกต้นยี่โถไว้ในลานตำหนัก”

“ต้นยี่โถ? ไม่มีนะเพคะ พระสนมไม่เคยปลูกสิ่งนี้” นางกำนัลที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายหรงเฟยกล่าวพร้อมกับเบิกตากว้าง

“ก็เพราะกลิ่นของต้นยี่โถสองต้นนี้ที่แผ่ออกมา ถึงทำให้พระสนมถูกพิษจนเกือบจะแท้งลูก” ซ่งหวานหว่านกล่าวอย่างจริงจัง “หากเมื่อครู่หม่อมฉันมาช้ากว่านี้ เกรงว่าบุตรในครรภ์พระสนมคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”

ครั้นฝ่าบาททรงได้ยินก็พิโรธอย่างหนัก “ใครก็ได้! ไปสืบมาให้กระจ่างว่าใครกันที่คิดทำร้ายลูกหลานกษัตริย์!”

เหล่าองครักษ์พลันเคลื่อนไหวล้อมตำหนักฉางเล่อจับกุมบ่าวรับใช้ทั้งหมดไว้ทันที

เวลานี้เต๋อกงกงก็วิ่งกลับมาพร้อมกับอุ้มกล่องผ้าไหมมาด้วยใบหนึ่ง

“ฝ่าบาท นำเห็ดหิมะมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“มอบให้ข้าเถอะ ท่านไปช่วยฝ่าบาทตามหามือสังหารเถิด” ซ่งหวานหว่านกล่าว

เต๋อกงกงไม่แม้แต่จะคิด มอบให้นางโดยทันที

ซ่งหวานหว่านลอบเปิดกล่องผ้าไหม มองเห็ดหิมะที่อยู่ด้านในปราดหนึ่ง ในดวงตาทอแววสุขใจระคนชื่นชมออกมาหลายส่วน

ไม่เลวเลย คุณภาพของเห็ดหิมะดอกนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของชั้นยอด มิหนำซ้ำยังมีอายุตั้งสามพันสี่ร้อยกว่าปี นับเป็นของดีโดยแท้

นางหักแบ่งออกมาส่วนหนึ่ง แล้วเก็บเข้าไปในแหวนอวกาศโดยไร้สุ้มเสียง

ควรเก็บกล่องผ้าไหม นางเดินกลับไปยังหน้าแท่นบรรทมของหรงเฟย หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วยัดเข้าไปในปากของหรงเฟย

หลังจากนั้นนางก็เอาตัวยาสมุนไพรทั้งหมดวางไว้ด้วยกัน ก่อนจะเริ่มต้มยา

ทว่าอีกด้านหนึ่ง ฝ่าบาทที่ลงมาไต่สวนคนในตำหนักฉางเล่อด้วยพระองค์เองรอบหนึ่ง กลับยังคงไร้เบาะแสใด

หลังซ่งหวานหว่านป้อนยาที่ต้มเสร็จแล้วให้หรงเฟยดื่มเสร็จ ก็เดินไปที่ลานตำหนัก มองคนในวังที่อยู่กันเต็มลาน นางกล่าวว่า “ฝ่าบาท ไม่สู้ให้หม่อมฉันลองดูสักหน่อยได้หรือไม่เพคะ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป