บทที่ 1 บทนำ
‘คุณจะปกป้องหนูใช่ไหมคะ’
‘ตราบใดที่เธอไม่สร้างปัญหา... ใช่ ฉันจะปกป้องเธอ’
ประโยคเหล่านั้นดังก้องอยู่ในหัวใจดวงน้อยราวกับจะเย้ยหยัน ใจของมารินรู้ดีว่าพันธะสัญญาระหว่างเธอกับชาวีกำลังจะจบลงเพราะปัญหาใหญ่ที่เข้ามา
เธอท้อง...
มันเกิดขึ้นได้อย่างไรไม่รู้ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว
มันผลักดันให้มารินนั่งกระสับกระส่ายอยู่ในบ้านพักส่วนตัวอันทันสมัยที่คนอย่างเธอไม่มีปัญญาครอบครอง โดยมีแท่งตรวจครรภ์สามแท่งวางอยู่บนโต๊ะ ยืนยันความจริงอันน่าหวั่นใจ
ชั่วชีวิต... สิ่งที่มารินไม่ปรารถนาจะได้พบเจอ คือความยุ่งยากที่นำพาให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย แต่ในบางครั้งเธอกลับวิ่งเข้าใส่ปัญหา ทั้งโดยบังเอิญและตั้งใจ
สองปีก่อน
มารินในวัยสิบเก้าปีต้องนั่งตัวสั่นงันงกหลังประตูตู้เสื้อผ้าแบบ walk-in closet ราวกับว่านั่นคือที่หลบซ่อนสุดท้ายในโลกที่กำลังจะพังทลาย เหงื่อกาฬไหลจนชุ่ม ดวงตาเบิกโพลงด้วยหวาดผวาสุดหัวใจ
หากรู้สักนิดว่าความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม มารินคงไม่ยอมก้าวเข้าสู่สถานที่ที่จะกลืนกินทั้งชีวิตและตัวตนของเธอไปจนหมดอย่างบ้านวิธวินทร์
แต่เพราะ ‘เมริษา’ เพื่อนรักที่ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมามาก ถึงขั้นคุกเข่าขอร้องทั้งน้ำตาให้มาทำธุระเป็นเพื่อน เธอจึงไม่อาจปฏิเสธได้ลง
ทั้งบ้านมืดสลัวในตอนที่ทั้งคู่เปิดเข้ามา
มารินเห็นผู้ชายที่น่าจะเป็นเจ้าของบ้านนั่งดื่มอยู่ที่มุมบาร์ซึ่งมีเพียงแสงนวลของโคมระย้า เขาไม่พูดอะไร เพียงเดินไปกดคำสั่งปิดประตูที่แผงควบคุมตรงผนังใกล้บาร์ พอมองให้ชัดจึงได้รู้ว่าเขาคือ ‘ชินดนัย’ หนึ่งในคนสำคัญของตระกูลวิธวินทร์
มารินหันไปมองประตูที่ปิดลงด้วยใจระทึก พลันรู้สึกเหมือนกับว่า พวกเธอถูกขังอยู่ในกรง
“โฟมนั่งรอฉันอยู่ตรงนี้แป๊ปนึงนะ” เมริษาชี้ไปที่โซฟาของห้องรับแขก ก่อนจะกดสวิตช์ไฟที่เสาใกล้ ๆ หล่อนถอดเสื้อนอกของตนไปแขวนตรงราวไม่ไกลกัน รองเท้าก็ถอดวางไว้บนตู้
หล่อนรู้มุมต่าง ๆ ของบ้านราวกับเป็นบ้านตัวเอง มารินเดาว่าเพื่อนรักคงเคยมาแล้วหลายหน
เมริษาหันมาบอกอีก “เดี๋ยวฉันมา ฉันเข้าไปคุยกับเขาไม่นานหรอก”
มารินรู้สึกว่าชายคนนี้ไม่น่าไว้วางใจ คิดว่าเมริษาเองก็รู้สึกเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่คะยั้นคะยอให้เธอมาด้วยกัน แต่ในเมื่อหล่อนเลือกที่จะเดินหน้า มารินจึงทำได้เพียงแค่รออย่างมีสติและควรสำรวจทางหนีทีไล่เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน
“ระวังตัวด้วยนะ”
เมริษาพยักหน้ารับคำ ใจลึก ๆ หล่อนกลัวจนแทบบ้า แต่เพื่ออนาคตที่วาดฝันเอาไว้ หล่อนจึงเดินตามชินดนัยขึ้นไปคุยบนห้องทำงานชั้นสอง โดยไม่รู้เลยว่า หล่อน... จะไม่มีวันได้กลับออกมา
เพียงไม่นาน มารินก็ได้ยินทั้งคู่โต้เถียงกัน จับใจความได้เพียงว่ามีบางอย่างที่เมริษาซ่อนไว้ และชินดนัยจะไม่มีวันให้หล่อน ‘Blackmail’ เขาได้อีกต่อไป
เท่านั้น... มารินจึงรู้ตัวว่าถูกเพื่อนที่ไว้ใจดึงลงมาอยู่ในจุดที่เธอไม่อยากจะยืน
หญิงสาวไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับการข่มขู่นี้ จึงหมายใจจะหนีกลับบ้านโดยไม่ให้เพื่อนรู้ ทว่าเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นสติของเมริษาพาให้เธอต้องวิ่งขึ้นไปดูเพื่อนอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
ก่อนที่ใจดวงนั้นจะเต้นรัวอยู่ในอกเมื่อเห็นเจ้าของบ้านที่เมามายใช้มีดไล่ฟันเมริษาอยู่
พอเขาหันมาเห็นมารินที่ปากประตู ก็พุ่งเข้ามาหมายจะจัดการ มารินกระโดดโหยง หลบได้หวุดหวิด แต่เลือดในกายเย็นเฉียบเพราะความหวาดกลัว
ชินดนัยตวัดสายตามามองเธอ หัวเราะคลั่งแค้น มือข้างที่ถือมีดเงื้อขึ้นหมายเอาชีวิตของมาริน ในชั่ววินาทีนั้นทั้งร่างก็วืดหลบได้อีกครั้งเพราะเมริษาฉกชิงความไวจากปีศาจพุ่งเข้ามาลากเธอออกไปให้พ้นวงแขนของมัน
“แม่งเอ๊ย อีกะหรี่!!!” ชินดนัยสบถด้วยความโมโห
“หนีเร็วโฟม!” เมริษาตะโกนลั่น
ชายหนุ่มรีบขว้างมีดตามหลัง แต่ไม่โดนใครทั้งนั้น
ขณะที่สองสาวแตกหนีไปตามห้องต่าง ๆ ของชั้นสอง กลายเป็นหนูตัวเล็กที่ติดอยู่ในกรงสิงโต... เพราะประตูและหน้าต่างทุกบานถูกควบคุมด้วยระบบสั่งการ biometric ซึ่งมีเพียงคนบ้านวิธวินทร์เท่านั้นที่เปิดได้
มารินตะเกียกตะกายเข้ามาหลบในตู้เสื้อผ้าในห้องห้องหนึ่ง ได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้าบ้าน ใกล้เข้ามา... ใกล้เข้ามา... จนต้องกลั้นหายใจเอาไว้ ราวกับกลัวว่าเขาจะรับรู้ที่ซ่อนของตนจากลมหายใจ
“กรี๊ด!!! ไม่นะ ไม่!”
เสียงเมริษากรีดร้อง
ภาพที่ปรากฏในครรลองสายตาของมาริน ผ่านรอยแยกของประตูตู้ คือร่างของหนูตัวแรกที่ไม่ไวพอ
เมริษาถูกชินดนัยลากออกมาจากใต้เตียง ก่อนที่เขาจะขึ้นคร่อม ชกเข้าที่ใบหน้าของหล่อนหลายครั้ง ทุกครั้งที่เสียงกำปั้นกระทบใบหน้าหล่อน ร่างกายของมารินจะสะดุ้งเฮือก จนเธอต้องรีบใช้มือปิดปากตัวเองไว้แน่น พร้อมเกร็งไว้ทั้งตัวให้นิ่งที่สุด
นิ่งเป็นหิน
นิ่ง... และยอมให้คลื่นร้ายซัดผ่านตัวเธอไปเหมือนทุกครั้ง แล้วเธอก็จะรอด
แต่ดูเหมือนว่าคลื่นร้ายลูกนี้จะใหญ่เกินกว่าที่ก้อนหินก้อนเล็กอย่างมารินจะทนไหว เธอเห็นเมริษาถูกบีบคอจนดวงตาเหลือกลาน เนื้อตัวของเพื่อนรักกระตุกเกร็งอยู่ในเงื้อมมือมัจจุราช
“มึงคิดว่ากูจะยอมเสียเงินให้มึงแลกกับหลักฐานพวกนั้นเหรอ อีกะหรี่ชั้นต่ำ!!!”
“อั่ก...”
“กูแค่หลอกมึงมาฆ่า แล้วจะฝังทุกอย่างที่มึงรู้ไปกับศพเน่า ๆ ของมึงไงล่ะ อีควาย!!!”
เมริษาจิกเล็บกับข้อมือเขา เลือดที่ไหลออกมาทั้งจากดวงตา จมูก และปากหาได้สร้างความตกใจให้ชินดนัย แววตาไร้ซึ่งความปรานีบีบให้หล่อนยอมรับความตายโดยไม่มีเงื่อนไข
ใจของมารินหล่นหาย เหลือเพียงความหวาดกลัวเท่านั้นที่ยังเต้นอยู่ในอก
หากแม้ความกลัวรบรากับความกล้าเพียงน้อยนิดในใจ แต่มารินก็ไม่อาจเห็นคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาต้องหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตา จึงผลักประตูแล้วพุ่งใส่ปีศาจร้ายจนมันล้มไปพร้อมกับปล่อยมือจากเมริษา
มารินช่วงชิงเวลาเพียงเสี้ยวนาทีที่มันเพลี่ยงพล้ำ เข้าปลุกประคองเพื่อนรักขึ้นมา
“เม เม ฮึก... หนีเร็ว เม”
“...”
“เม ตื่นสิเม เม!”
เปล่าประโยชน์เสียแล้ว...
เมริษาสิ้นใจไปก่อนเพียงเสี้ยววินาที และตอนนี้มารินก็กำลังกระโจนออกมาเผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่เคยพบพาน
คนที่ไม่เคยเห็นใครถูกฆ่าอยากมีเวลาโศกเศร้าให้มากกว่านี้ แต่ก็รู้ในทันทีว่าต้องหนีให้พ้น ก่อนที่จะกลายเป็นศพต่อไป
ตอนนั้น ชินดนัยพุ่งเข้ามาจะคว้าข้อเท้าของเธอ มารินกรีดร้องลั่นและไวพอที่จะดึงเท้าหลบ
เธอตะเกียกตะกายสับเท้าลงบันไดมาชั้นล่าง มือถือร่วงกระแทกขั้นบันได แต่ไม่มีเวลาพอที่จะเก็บมันขึ้นมา ในหัวคิดหาทางออกแต่ลนลานไปหมด
ถ้าทุบหน้าต่างจะได้ไหมนะ?
หรือหากร้องให้คนช่วยจะได้ผลหรือเปล่า
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยหนูที!”
เสียงพูดกลั้วหัวเราะของเขาดังไล่หลัง “ร้องเข้าไปอีหนู บ้านนี้ไม่มีใครช่วยมึงได้หรอก”
“ช่วยด้วย ฮือ ๆ ช่วยหนูด้วย”
“...”
~ ~ ~ ฮือ ฮื้อ ฮือ
มารินได้ยินเสียงฮัมเพลงของชินดนัยดังแว่วในความเงียบงัน ฟังดูคล้ายเพลงแห่งชัยชนะในช่วงเวลาที่ชีวิตของเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย
จนเมื่อหญิงสาวเริ่มจวนตัว เพราะถูกไล่ต้อนให้ติดอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน ความสิ้นหวังก็จู่โจมหัวใจและพาให้แข้งขาอ่อนแรงจนทรุดลงกับพื้น
“อย่าทำอะไรหนูเลยนะ ฮือ ๆ หนูสาบาน หนูจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร หนูไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนูมาที่นี่ทำไม โธ่!... ทำไมหนูถึงทำเรื่องโง่ ๆ อย่างนี้ลงไปได้ก็ไม่รู้”
หญิงสาวยกมือไหว้ ทั้งวอนขอ ทั้งให้คำสัญญาและก่นด่าตนเองด้วยความสับสนลนลาน หากเมื่อร่างทะมึนของชินดนัยคืบคลานเข้ามาอย่างใจเย็นราวกับอยากเล่นกับลมหายใจสุดท้ายของเหยื่อ มารินจึงใช้สองมือทุบประตูบานนั้นอย่างจนใจ
รู้ทั้งรู้ว่ามันไร้ผล
รู้ทั้งรู้ว่าตนจะต้องตายอยู่ตรงนี้ แต่เธอ... ยังไม่อยากตาย
และในนาทีที่เราเข้าใกล้ความตาย ความปรารถนาที่ยังไม่สำเร็จก็วิ่งเข้ามาในหัวใจสวนทางกับความหวังที่จะมีชีวิตรอดออกไป
น้องชายของเธอจะเป็นอย่างไรหากเธอต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ตรงนี้อย่างคนโง่
ตอนนั้นเอง...
ติ๊ด...
บางคนเปิดประตูจากภายนอก ยังไม่ทันที่มารินจะทันได้คิดสิ่งใดก็ถูกแขนแข็งแรงกระชากผ่านช่องว่าง ก่อนลากร่างเธอวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต พร้อมได้ยินเสียงคำรามร้องของชินดนัยดังออกมาจากบ้านหลังนั้น
ทว่า... ชินดนัยไม่ได้ตามมา ใช่ว่าเขาจะเลิกแล้วต่อกัน แต่เพราะรู้ดีว่ามันเกินกำลังของตนแล้วต่างหาก
