บทที่ 3 สามีแสนดี ?
หลายเดือนมานี้องค์หญิงสิบเอ็ดได้เฝ้าติดตามการใช้ชีวิตของไป๋อันหรานในฐานะวิญญาณเร่ร่อนอยู่เงียบ ๆ ยิ่งนานวันก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดจนกัดฟันแน่น ไป๋อันหรานที่ถูกมู่หยางผู้เป็นสามีรังแกแทบทุกคราแต่กลับไม่เคยตอบโต้เลยสักคำ
“สตรีโง่งม” องค์หญิงสิบเอ็ดพึมพำด้วยสีหน้าเอือมระอา ขณะมองไป๋อันหรานซึ่งกำลังถือน้ำแกงอุ่น ๆ เดินเข้าไปยังห้องหนังสือของมู่หยาง นางถอนหายใจห้วน ๆ
ครั้งนี้น้ำแกงจะไปอยู่บนพื้น หรือตัวเจ้าอีกล่ะ ไป๋อันหราน
องค์หญิงสิบเอ็ดก้าวตามไปด้วยความอยากรู้ปนความเอือมระอา ภายในห้องหนังสือ เงียบสงบ มีเพียงเสียงกระดาษถูกพลิกเบา ๆ มู่หยางยังคงนั่งอยู่ด้านใน เงาของเขายาวทอดลงบนพื้น
“ข้าได้ยินว่าท่านดื่มสุราจนถึงรุ่งเช้า เลยตั้งใจต้มน้ำแกงมาให้ท่านพี่เจ้าค่ะ” อันหรานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ยิ้มให้อย่างเคย ก่อนจะวางถ้วยน้ำแกงลงบนโต๊ะอย่างเบามือ
ถ้อยคำของไป๋อันหลานอ่อนโยนจนองค์หญิงถึงกับเบ้ปาก พลางคิดสมเพชอีกฝ่ายในใจว่าไป๋อันหรานเหตุใดไม่จำสักทีว่าบุรุษผู้นี้ไม่เคยเห็นค่าของเจ้าเลย
มู่หยางหยุดพลิกกระดาษ เขาเหลือบตามองถ้วยน้ำแกงที่มีไอร้อนลอยบาง ๆ เสี้ยววินาทีนั้น องค์หญิงสิบเอ็ดถึงกับยืนนิ่ง…สายตาของมู่หยางไม่เหมือนเดิม ไม่มีความเย็นชาหรือรำคาญอย่างที่เคย
ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบถ้วยขึ้นมาแล้วยกดื่มโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ภาพนั้นทำให้ทั้งอันหรานและองค์หญิงตกใจจนพูดไม่ออก
“ทะ…ท่านพี่…?” อันหรานเบิกตากว้าง มือที่กำชายกระโปรงสั่นเล็กน้อย
มู่หยางดื่มจนหมด เขาคว่ำถ้วยวางลงอย่างนุ่มนวล ผิดวิสัยคนที่เคยไม่แลใบหน้าอันหรานแม้แต่นิด ชายหนุ่มหันกลับมาใบหน้าที่เคยเรียบเฉยปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือมาจับมือของหญิงสาวกุมไว้
“น้องหญิง ลำบากเจ้าแล้ว”
อันหรานสะดุ้งเล็กน้อยราวกับถูกไฟลวก “นะ…น้องหญิงหรือเจ้าคะ?”
“เจ้าเป็นฮูหยินของข้า เรียกเช่นนี้ย่อมถูกต้อง” น้ำเสียงของเขานุ่มจนองค์หญิงสิบเอ็ดขนลุกซู่ นี่มัน…มู่หยางคนเดิมจริงหรือ?
ยังไม่ทันให้อันหรานจะตั้งตัว มู่หยางก็ใช้แรงเบา ๆ ดึงนางให้มานั่งบนตักเขา มืออุ่นของเขาแตะปลายคางนางยกขึ้นให้เงยหน้ามองเขาโดยตรง ระยะระหว่างใบหน้าแค่คืบเดียว…
หัวใจของอันหรานเต้นแรงจนได้ยินชัดในอก นางมองบุรุษตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง แววตาของเขาในวันนี้อ่อนโยนราวกับเป็นคนละคน
“ข้าฝันไปหรือเจ้าคะ ท่านพี่ถึงได้ดีกับข้าเช่นนี้…”
มู่หยางหัวเราะเบา ๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากสัมผัสนางอย่างแผ่วเบา นุ่มนวลจนหัวใจนางเต้นไม่เป็นจังหวะ
อันหรานตัวแข็งทื่อ ตาเบิกกว้างขณะที่องค์หญิงสิบเอ็ดซึ่งยืนอยู่ด้านหลังถึงกับตะลึง
เจ้ามู่หยางผู้นี้กินยาผิดไปหรืออย่างไร!?
มู่หยางผละออกเล็กน้อย รอยยิ้มของเขายิ่งลึกขึ้น “เช่นนี้ ยังคิดว่าฝันอยู่หรือไม่?”
ใบหน้าอันหรานแดงราวผลทับทิม นางส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่แล้วเจ้าค่ะ…”
นางยกมือแตะริมฝีปากของตนเบา ๆ ราวกับยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือความจริง ดวงตานางเอ่อคลอด้วยความดีใจที่เก็บกลั้นมาหลายปี ส่วนองค์หญิงสิบเอ็ดที่สังเกตทุกท่วงท่าจากด้านข้างถึงกับถอนหายใจหนักรอบหนึ่ง
“ต้องโทษข้าที่งานยุ่ง จึงมิได้ใส่ใจเจ้าเท่าที่ควร” น้ำเสียงของมู่หยางฟังดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เจ้าค่ะ ไม่เป็นอะไรเลยเจ้าค่ะ”
อันหรานส่ายหน้า ยิ้มนิด ๆ ทั้งที่น้ำตายังเกาะอยู่ที่ขนตา ห้าปีแห่งความทุ่มเทค่ำคืนนี้นางรู้สึกว่ามันไม่เสียเปล่าเลย
มู่หยางมองนางครู่หนึ่ง แววตาฉายความอ่อนลง
“อย่างไรข้าก็ยังผิด เช่นนั้นให้ข้าชดเชยเจ้าดีหรือไม่?”
ไม่รอคำตอบ เขาก็อุ้มอันหรานขึ้นในท่าเจ้าสาว วงแขนมั่นคงจนนางใจสั่นระคนเขิน องค์หญิงสิบเอ็ดมองตามด้วยคิ้วขมวดอย่างสงสัย
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ บุรุษที่เกลียดภรรยาเสียยิ่งกว่างูพิษ ถึงกับอุ้มนางด้วยใบหน้าเช่นนั้น?
น่าสงสัยเหลือเกิน…
องค์หญิงสิบเอ็ดตัดสินใจเดินตามไปเงียบ ๆ ทว่าไม่ทันไรนางก็ได้ยินเสียงสนทนาหยอกล้อของทั้งคู่ลอดออกมาจากเรือนด้านใน เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ของอันหรานและเสียงทุ้มของมู่หยางที่ขัดกับบุคลิกเดิมของเขาอย่างสิ้นเชิง
“ทะ…ท่านพี่จะทำอะไรเจ้าคะ” อันหรานเอ่ยเสียงสั่น เมื่อมู่หยางวางนางลงบนเตียง
มู่หยางยกยิ้ม “ก็ชดเชยให้เจ้าตามที่บอกน้องหญิง”
เขาโน้มกายลงเหนือร่างนาง องค์หญิงสิบเอ็ดที่ยืนกอดอกอยู่ข้างเตียงไม่ได้แสดงท่าทีตกใจหรือเขินอายกับภาพตรงหน้าที่เห็น นางเกิดมาตั้งห้าร้อยปีมีนายบำเรอในตำหนักเกือบร้อยคน ย่อมเห็นเรื่องเช่นนี้จนเบื่อ
แต่ก็ขอดูหน่อยก็แล้วกันว่ามู่หยางผู้นี้มีอะไรดี?
องค์หญิงสิบเอ็ดยื่นหน้าไปใกล้กว่าเดิม พร้อมเท้าคางอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดิน แต่ไม่นานใบหน้างามของนางก็เหยเกขึ้นอย่างหงุดหงิด
“เล็กชะมัด”
ถ้อยคำที่พึมพำออกมาเบาพอให้ได้ยินชัด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายถึงสิ่งใด สักพักเสียงหอบแผ่ว กับเสียงอันหรานที่กดกลั้นความขวยเขินดังขึ้นติดต่อกัน องค์หญิงสิบเอ็ดยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
“เจ้าโง่…มีแต่ท่าเดียวในสมองหรืออย่างไร” หญิงสาวพึมพำพลางถอนหายใจอย่างผิดหวังเต็มประดา
ทว่าทันใดนั้น....
“อ่าส์...เจินเจิน…”
มู่หยางครางชื่อที่ไม่ใช่อันหรานออกมา ก่อนที่ร่างเขาจะฟุบลงบนอกของหญิงสาวอย่างหมดแรง ราวกับใช้กำลังกายทั้งหมดไปในคราเดียว อันหรานลูบผมชายหนุ่มเบา ๆ รอยยิ้มละมุนแต้มบนใบหน้า
“เสร็จ…เร็วปานนี้? ไหนจะชื่อที่ครางสตรีอื่นออกมาอีก…เฮ้อ”องค์หญิงถึงกับถอนหายใจออกมานางกลอกตาอย่างระอา
บนเตียงมู่หยางขยับมากอดอันหรานแน่นขึ้นเล็กน้อย นางก็กอดตอบด้วยความรักที่มีให้เขาเสมอมา
“ข้ารักท่านนะเจ้าคะ ท่านพี่”
คำพูดแผ่วหวานนั้นทำให้องค์หญิงถึงกับผงะและงงงวยกับสิ่งที่เห็นและได้ยิน
นี่นางยังดีใจอีกหรือ!? หูหนวกหรืออย่างไรกัน…สามีเจ้าครางชื่อหญิงอื่นอยู่นะ!
องค์หญิงกุมขมับด้วยความหงุดหงิด เฮอะ…ถึงข้าจะเคยมีชายรับใช้บนเตียงตั้งร้อย แต่ยังมองออกว่าเจ้ามู่หยางนี่มันไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง! บอกข้าสิอันหราน…เจ้ารักบุรุษพรรค์นี้ลงได้อย่างไร!
สองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหมือนลมวสันต์ไหลผ่านสวนดอกไม้ อันหรานในวันนี้เดินยิ้มละมุนมาตลอดทาง มือหนึ่งลูบท้องของตนเบา ๆ ใบหน้าเปล่งปลั่งด้วยความดีใจที่แทบเก็บไม่อยู่ เมื่อคิดถึงข่าวดีที่ได้รับนางก็รีบตรงไปยังห้องหนังสือทันที
ในที่สุดข้าก็มีลูกของท่านพี่แล้ว!
“ท่านพี่!!” เสียงใสกังวานดังขึ้นก่อนที่นางจะเปิดประตูเข้าไป อันหรานแทบพุ่งเข้าไปกอดสามีโดยไม่ลังเล
องค์หญิงสิบเอ็ดที่ลอยตัวตามมาถึงหน้าประตู มองภาพทั้งคู่ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ใครจะคิดว่าเจ้ามู่หยางผู้นี้จะมีน้ำยา
“น้องหญิง อะไรทำให้เจ้าดีใจถึงเพียงนี้ ไหนบอกพี่หน่อย” มู่หยางเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อถูกกอดกะทันหัน
อันหรานยกหน้าขึ้น ประกายแห่งความสุขล้นอยู่ในดวงตา
“ข้าตั้งครรภ์แล้วเจ้าค่ะ เรากำลังจะมีลูกแล้ว…”
แต่รอยยิ้มของนางกลับดับวูบในทันที เมื่อเห็นสีหน้าของมู่หยางใบหน้าที่เพิ่งสดใสเมื่อครู่ กลับหม่นหมองและแข็งตึง เขาจับมือของนางแน่นขึ้น
“เจ้า…ท้องหรือ” เสียงทุ้มของเขาหนักด้วยความกดดัน “เจ้าไม่ได้กินยาห้ามครรภ์ที่ข้าให้ไปหรือ?”
อันหรานชะงัก “ไม่เจ้าค่ะ…ทำไมหรือเจ้าคะ?”
มู่หยางหลุบตาลง ถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดราวกับเรื่องนี้สร้างปัญหาใหญ่หลวงให้เขา สายตานั้นทำเอาองค์หญิงสิบเอ็ดถึงกับขมวดคิ้ว
นี่มันคนหรือซากไม้กันแน่ ภรรยาบอกว่าตั้งครรภ์แทนที่จะดีใจ กลับทำหน้าเหมือนโดนสาปตายคาที่ น่าสังหารให้ตายจริง ๆ
“ท่านพี่…ไม่ดีใจหรือเจ้าคะ?”
อันหรานมองสามีอย่างไม่เข้าใจ คำถามแผ่วเบาเหมือนลมหายใจขาดห้วง แต่คำตอบกลับเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำค้างยามเหมันต์
“เจ้าเอาเด็กออกเถอะ”
หัวใจอันหรานเหมือนถูกบีบจนช้ำ นางลูบท้องของตนอย่างปกป้องตามสัญชาตญาณ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ฝืนยิ้มทั้งน้ำตา
“ท่านพูดอะไรเจ้าคะ นี่ลูกของท่านนะเจ้าคะ” แววตาของนางสั่นระริก ความหวังที่สร้างมานานหลายปีเริ่มแตกละเอียด
มู่หยางสบตานางด้วยความเย็นชา ก่อนจะแสร้งตีหน้าเศร้า
“ข้าเองก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ข้ายังไม่พร้อมจะเป็นพ่อ…อันหราน เจ้าเข้าใจข้าได้หรือไม่”
ใบหน้าที่แสร้งแสดงความอ่อนแอนั้น ทำให้องค์หญิงถึงกับกลอกตา เพราะนี่มันคือฝีมือการแสดงชั้นต่ำที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นในรอบห้าร้อยปี!
อันหรานกำมือแน่น “แต่ลูกของเรา…”
มู่หยางขัดขึ้นทันที “หากเจ้าไม่เชื่อฟังก็ออกไปเถอะ”
คำพูดนั้นเหมือนมีคมมีดซ่อนอยู่ เขาหันหลังให้นางทันที ไม่ปรายตามองเลยสักนิด อันหรานหน้าซีดเผือด นางมองแผ่นหลังที่ห่างเหินราวกับคนแปลกหน้าของสามี แล้วค่อย ๆ เอามือลูบท้องของตนอย่างสั่นไหว
มู่หยางพูดเสียงเรียบ “คืนนี้ข้าจะไปนอนห้องอนุฉะ….”
“ข้าทำ! ข้ายอมทำ!”
อันหรานรีบสวมกอดเอวเขาไว้จากด้านหลัง เสียงสั่นระรัวแต่เด็ดเดี่ยวด้วยความรักที่ทุ่มเทอย่างโง่งมของนาง ไม่เป็นไรลูกจะมีอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ขอแค่มู่หยางยังรักนางอยู่เช่นนี้…นางยอมทำทุกอย่าง
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง นั่นลูกของเจ้านะ เหอะข้าหมดคำจะพูดกับมนุษย์เช่นพวกเจ้าจริง ๆ ”
องค์หญิงสิบเอ็ดกัดฟันกรอดด้วยความขุ่นเคือง เส้นเอ็นขมับเต้นตุบตามแรงอารมณ์ นางมองบานประตูที่อันหรานวิ่งออกไปพร้อมน้ำตาด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนจะหันกลับมาจ้องมู่หยางราวกับจะสับเขาเป็นชิ้น ๆ
มู่หยางทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ช้า ๆ ฝ่ามือกดขอบพนักจนข้อนิ้วซีด ดวงตาคู่นั้นลึกซึ้ง เย็นชา ไร้ซึ่งความรู้สึกผิดหรือเสียใจกับสิ่งที่ตนพูดออกไปเมื่อครู่
องค์หญิงสิบเอ็ดยืนกอดอกพิงเสาใบหน้าบึ้งตึง ยังไม่ทันที่นางจะด่าทออีกฝ่ายอีกครั้ง เสียงหวานนุ่มก็เล็ดลอดออกมาจากหลังฉากผ้าม่าน
“ท่านพี่ทำอย่างนี้จะดีหรือเจ้าคะ”
ไป๋เจินเจินก้าวออกมาอย่างระมัดระวัง ใบหน้าอ่อนหวานของนางฉายแววเป็นห่วงปนสับสน มู่หยางเพียงเงยหน้าขึ้น ก่อนจะคว้านางเข้ามากอดอย่างถือสิทธิ์ ยามร่างบางเอนซบอยู่ในอ้อมแขน เขายิ้มอย่างคนที่ได้ในสิ่งตนต้องการ
“หากลูกของข้าที่เกิดจากนาง สู้ไม่ต้องเกิดดีกว่า” เสียงเขาเย็นเฉียบ “เจ้าก็เห็นว่านางชั่วร้ายเพียงใด”
เจินเจินชะงัก เงยหน้าขึ้นอย่างลังเล “แต่ว่า…”
มู่หยางยกนิ้วแตะริมฝีปากนางเบา ๆ ดวงตาเขากลับแข็งกระด้าง “ไม่ต้องพูด พี่อดทนทำดีประหนึ่งสามีตัวอย่างมาตลอดก็เพื่อแต่งเจ้า เจ้าอยากให้ความอดทนของพี่เสียเปล่าหรือ…หรือว่าจริง ๆ แล้วเจ้าไม่รักพี่กันแน่”
เจินเจินหน้าแดงจัด รีบหลุบตาแล้วผลักอกเขาออกเล็กน้อยด้วยท่าทีเขินอาย
“ข้า…บอกท่านแล้วไงเจ้าคะ ต้องแต่งข้าเข้าจวนก่อน ข้าถึงจะยอม…”
คำพูดนางเบาจนแทบเป็นกระซิบ มู่หยางหัวเราะเบา ๆ อย่างผู้ชนะ เขายกมือเกลี่ยข้างแก้มของหญิงสาวด้วยท่าทีทะนุถนอมจนขัดกับความโหดเหี้ยมเมื่อครู่
“พี่ถนอมเจ้า เพราะรักเจ้ามาก… เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ…” นางตอบเสียงแผ่ว
“พี่ทำทุกอย่างตามที่ตกลงกับท่านแม่ไว้ครบแล้ว” เขาลูบศีรษะนางราวปลอบเด็ก “สองเดือนเต็ม พี่ฝืนทนอยู่กับนาง ตอนนี้ถึงเวลาที่ท่านแม่จะทำตามสัญญาแต่งเจ้าเข้ามาในจวน”
คำพูดนั้นทำให้เจินเจินเผยรอยยิ้มบาง ทว่าในดวงตายังมีประกายลังเลแวบผ่านอย่างน่าสงสัย
องค์หญิงสิบเอ็ดยืนมองทั้งคู่ไม่วางตา นิ้วเรียวยาวเคาะต้นแขนเป็นจังหวะช้า ๆ แววตาเย็นจนเหมือนคมมีด นางในตอนนี้เข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว
ไป๋อันหราน…บุรุษผู้นี้คุ้มค่าที่เจ้าจะเสียใจและร้องไห้ให้จริง ๆ หรือ?
