บทที่ 2 คุกเข่าขอโทษ
วันรุ่งขึ้น
ฉันมาถึงร้านอาหารวิวทะเลสาบก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง
บรรยากาศของร้านอาหารดูหรูหราและเงียบสงบ มีคนไม่เยอะมากนัก
ที่โต๊ะมุมทแยงมีแขกสองคนกำลังคุยกันอยู่ ในร้านอาหารที่เงียบสงบแบบนี้ เสียงของพวกเขาจึงค่อนข้างโดดเด่น
“พี่ขวัญ นี่คือของขวัญวันเกิดที่ท่านประธานให้พี่เมื่อวานนี้เหรอคะ? แหวนเพชรเม็ดใหญ่เท่าไข่นกพิราบ ต้องหลายแสนเลยใช่ไหมคะ”
ฉันหันไปมองราวกับถูกไฟฟ้าช็อต คนคนนั้นคือขวัญจิรานั่นเอง
พอได้ยินคนข้างๆ พูดแบบนั้น ขวัญจิราก็เอามือปิดปากทำท่าเขินอาย แหวนเพชรเม็ดโตบนนิ้วส่องประกายวิบวับอยู่ใต้แสงไฟ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เขาบอกว่าอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ฉัน จริงๆ แล้วฉันก็ว่ามันแพงเกินไปหน่อย...”
ฉันที่นั่งอยู่ไม่ไกลได้แต่มองดูด้วยสายตาเย็นชา
แหวนเพชรที่กรณ์มอบให้ขวัญจิราเป็นของขวัญยังมีราคานับแสน แต่กับวันเกิดของฉัน เขากลับจำไม่ได้เลย
ช่างน่าขันสิ้นดี
อาจเป็นเพราะสายตาของฉันที่มองไปมันชัดเจนเกินไป ขวัญจิราเลยสังเกตเห็นการมีอยู่ของฉัน
รอยยิ้มในแววตาของเธอแข็งค้างไป แต่ก็ยังคงพูดอย่างนุ่มนวลว่า “น้องลินดา นั่งรอสักครู่นะคะ พอดีพี่เจอเพื่อนทางโน้น เดี๋ยวขอไปทักทายเขาสักครู่”
พูดจบเธอก็เดินอย่างนวยนาดมาอยู่ข้างฉัน พลางยื่นมืออันเรียวงามออกมา เล็บสีนู้ดที่ดูสะอาดตาขับให้แหวนเพชรใสกระจ่างส่องประกายเจิดจ้าอยู่ภายใต้แสงไฟของร้านอาหาร
“อ๋อ ที่แท้ก็คุณผู้หญิงนี่เอง เกือบจะจำไม่ได้เลยค่ะ”
ขวัญจิราพูดด้วยน้ำเสียงหวานหยด “บังเอิญจังเลยนะคะ ท่านประธานบอกว่าร้านนี้อาหารอร่อยมาก เลยจองโต๊ะให้ฉันมาลองโดยเฉพาะเลยค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักเขาก็มาแล้ว”
ฉันขี้เกียจจะไปต่อล้อต่อเถียงกับเธอ ตั้งใจว่าจะไม่สนใจ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังคงยั่วยุไม่เลิก
ขวัญจิรายกมือข้างที่สวมแหวนเพชรขึ้นมาปัดผมยาวของเธอ “เดี๋ยวจะอยู่ทานด้วยกันไหมคะ คุณกับท่านประธานคงไม่ได้เจอกันนานแล้วสินะคะ เมื่อคืนเขาฉลองวันเกิดให้ฉัน เลยไม่ได้กลับบ้านเลย”
เธอพูดด้วยท่าทีเขินอาย “จริงๆ แล้วเขาแค่ดูแลลูกน้องน่ะค่ะ ไม่คิดว่าสื่อจะเอาไปบิดเบือนความจริงลงในอินเทอร์เน็ต บอกว่าเป็นพิธีสารภาพรัก คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ”
ฉันเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองไปที่ขวัญจิรา
เด็กสาวที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย อ่อนต่อโลกจนไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคืออะไร เวลายิ้มก็ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เป็นแบบที่กรณ์ชอบที่สุด
ฉันยิ้มจางๆ “ไม่ว่าอะไรหรอกจ้ะ เพราะยังไงฉันกับกรณ์ก็เป็นสามีภรรยากันตามกฎหมาย ช่วงหลายปีที่แต่งงานกันมานี้ ก็เจอตัวตลกที่ชอบตีปีกในโลกออนไลน์มาเยอะแล้ว เรื่องของคุณนี่ถือว่าเล็กน้อยมาก”
ใบหน้าของขวัญจิราแดงก่ำขึ้นมาทันที “คุณหมายความว่ายังไง!”
“ก็ไม่มีอะไรนี่คะ” ฉันยักไหล่อย่างไม่แยแส “คุณขวัญอย่าไปใส่ใจเลย ต่อให้คุณเป็นแฟนของคุณกรณ์จริงๆ ก็เป็นได้แค่ผู้หญิงในเงามืด ฉันไม่เก็บมาใส่ใจหรอก”
น้ำเสียงของฉันไม่ดังไม่เบาเกินไป พอให้คนรอบข้างได้ยินกันถ้วนหน้า
ขวัญจิราที่ถูกหยามต่อหน้าคนมากมาย ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอจ้องเขม็งมาที่ฉันอย่างกินเลือดกินเนื้อ “ญาณี! ดูสารรูปป้าแก่ๆ ของแกตอนนี้สิ ไม่แปลกใจเลยที่กรณ์ไม่อยากกลับบ้าน”
ฉันหัวเราะเยาะในลำคอ ตลอดหลายปีที่ล้มป่วยมานี้ มันได้กัดกินพลังใจของฉันไปจนหมดสิ้นแล้ว ฉันรู้ดีว่าตัวเองมีสภาพเป็นอย่างไร แต่คำพูดแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะมีสิทธิ์มาพูด
แต่เดี๋ยวฉันยังมีนัดกับหมอภาคินต่อ เลยไม่อยากจะเสียเวลาทะเลาะกับเธอ
ฉันยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟเพื่อขอย้ายโต๊ะ
แต่ไม่คิดว่าขวัญจิราจะเข้าใจผิดว่าฉันจะลงไม้ลงมือกับเธอ เธอตกใจจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วชนเข้ากับพนักงานเสิร์ฟที่กำลังถือถาดอยู่พอดี
น้ำชาร้อนลวกสาดลงบนแขนเปลือยเปล่าของเธอเต็มๆ ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือดก็ดังลั่นไปทั่วทั้งร้าน
“ญาณี! นี่คุณทำอะไรลงไป!”
กรณ์ผลักประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาปรี่เข้าไปประคองขวัญจิราที่ล้มอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“ไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจขนาดนี้”
ฉันเหลือบมองสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ของกรณ์ แล้วแค่นหัวเราะในใจ
ขวัญจิราก็แค่โดนลวกจนผิวหนังแดงไปนิดหน่อยเท่านั้น เขาก็เจ็บปวดใจแทนเธอเสียขนาดนี้
“รีบเอาน้ำแข็งมาสิ มัวยืนนิ่งทำอะไรอยู่!” กรณ์ตะคอกใส่พนักงานที่กำลังยืนตัวแข็งทื่อ
ฉันมองดูละครตบตาตรงหน้าแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมานิดหน่อย
เดิมทีขวัญจิราซบอยู่ในอ้อมอกของกรณ์ด้วยท่าทีของผู้ชนะ แต่เมื่อเห็นฉันทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันกรอด ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นน่าสงสารน่าเวทนาในทันที
“ท่านประธานคะ บางทีอาจจะเป็นเพราะคำพูดของฉันเมื่อครู่ไปทำให้พี่ญาณีโกรธ เธอถึงได้ลงมือทำร้ายฉัน”
“ฉันก็แค่อธิบายเรื่องข่าวลือที่คุณฉลองวันเกิดให้ฉันเมื่อคืนนี้ ไม่คิดเลยว่าพี่เขาจะจู่ๆ ก็เข้ามาทำร้ายฉัน โชคดีที่ฉันหลบทัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เจ็บแค่โดนน้ำร้อนลวกแน่ๆ ค่ะ”
เธอพูดไปพลางสะอื้นไห้ไป หยาดน้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาตามกรอบหน้างดงาม ช่างเป็นภาพที่น่าสงสารจับใจ
แววตาของกรณ์เย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง เขาพูดลอดไรฟันว่า “ถ้าคุณมีเรื่องจะคุยกับผมก็ไปที่บริษัท อย่ามาวอแวกับขวัญ”
ฉันอดที่จะหัวเราะเยาะออกมาไม่ได้ “กรณ์ คุณเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าฉันมาที่ร้านนี้เพื่อมาหาคุณ”
เขากอดขวัญจิราไว้แล้วสั่งฉันว่า “ขอโทษขวัญซะ แล้วพาเธอไปโรงพยาบาล ถ้าเธอไม่เป็นอะไรแล้วคุณถึงจะไปได้”
ฉันหัวเราะหึออกมาอย่างโมโห “ทำไมล่ะ? เธอเป็นคนถอยหลังไปชนพนักงานเสิร์ฟเองแท้ๆ เธอยังไม่ได้ขอโทษพนักงานเสิร์ฟเลย แล้วทำไมฉันต้องขอโทษ!”
กรณ์มองฉันอย่างเย็นชา “คุณทำให้เธอบาดเจ็บ ก็ต้องขอโทษเธอ”
พูดจบเขาก็รับถุงน้ำแข็งจากมือพนักงานเสิร์ฟมาประคบที่แขนให้เธออย่างนุ่มนวล ต่างจากท่าทีเย็นชาราวกับน้ำแข็งเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ราวกับเป็นคนละคน
มุมปากของขวัญจิราปรากฏรอยยิ้มเยาะ เธอเหลือบมองฉันอย่างท้าทาย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “กรณ์คะ หรือว่าจะช่างมันเถอะคะ แค่คุณช่วยประคบให้ฉันก็ไม่เจ็บแล้วล่ะค่ะ คนมองเยอะขนาดนี้ พี่ญาณีคงไม่ยอมเสียหน้ามาขอโทษฉันหรอก”
น้ำเสียงของกรณ์อ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยการเยาะเย้ย “ไม่ต้องห่วง ผมมีวิธีทำให้เธอขอโทษคุณได้”
เขาให้ขวัญจิราประคองถุงน้ำแข็งไว้เอง แล้วลุกขึ้นหยิบสมุดเช็คออกจากกระเป๋าเสื้อ ตวัดปากกาเขียนตัวเลขสองสามตัวลงไปอย่างรวดเร็ว
“นี่เงินสิบล้าน คุณทำทุกอย่างเพื่อเงินได้ไม่ใช่หรือไง คุกเข่าขอโทษซะ แล้วเงินสิบล้านนี่จะเป็นของคุณ”
