บทที่ 4 การเข้ารักษาในโรงพยาบาล

กลับมาถึงวิลล่า

กรณ์ก็ยังไม่อยู่เหมือนเคย

ฉันเอนตัวลงบนเตียง ตั้งใจจะงีบหลับสักพัก

เหนื่อยเหลือเกิน ตั้งแต่ป่วยเป็นมะเร็งมานี้ ฉันก็กลายเป็นคนขี้เกียจไปเลย นอกจากเรื่องที่จำเป็นต้องออกไปจัดการข้างนอกแล้ว ส่วนใหญ่ฉันก็มักจะใช้เวลาอยู่ในบ้าน

เรื่องวุ่นวายที่ร้านอาหารกับกรณ์ในวันนี้ สูบเรี่ยวแรงทั้งหมดของฉันไปจนหมดสิ้น

ความเจ็บปวดที่กระดูกแขนและขาเริ่มจู่โจมเข้ามา ก่อนจะค่อยๆ ลามไปทั่วทั้งตัว

ฉันเจ็บจนตัวสั่นสะท้านไปหมด ทำได้เพียงขดตัวแน่น

ในความสลึมสลือ ฉันเรียกชื่อของกรณ์

"กรณ์... กรณ์... คุณจะไม่เอาฉันแล้วใช่ไหม..."

ในภวังค์ ฉันราวกับได้ย้อนกลับไปในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย

ตอนนั้น ฉันยังเป็นคุณหนูแห่งตระกูลเจียรวนนท์

มหาวิทยาลัยสำหรับฉันแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับสถานบันเทิงที่เปลี่ยนที่เท่านั้น

แต่แล้วฉันก็ค่อยๆ สังเกตเห็นว่า แถวหน้าสุดในทุกคาบเรียน มักจะมีนักศึกษาชายที่ดูจริงจังคนเดิมนั่งอยู่เสมอ และทุนการศึกษาอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยทุกครั้ง ก็ถูกคว้าไปโดยชื่อเดิมๆ

กรณ์

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ฉันเริ่มเดินตามต้อยๆ อยู่ข้างหลังเขา

"กรณ์ ได้ยินว่านายทำงานพิเศษเป็นติวเตอร์อยู่ข้างนอก ได้ค่าสอนแค่ชั่วโมงละสองร้อยเอง มาเป็นติวเตอร์ให้ฉันดีกว่าไหม อยากได้เท่าไหร่ว่ามาเลย"

แต่เขากลับไล่ฉันให้ไปไกลๆ ด้วยใบหน้าเย็นชาเสมอ

เขาไม่ว่างเลย พอออกจากบ้านนักเรียน ก็ต้องไปเสิร์ฟอาหารที่ร้านอาหารต่อ

มีครั้งหนึ่ง ฉันตามเขาไปที่ร้านอาหารแล้วก็นั่งรอจนร้านปิด เขาก็ไม่แม้แต่จะชายตามองฉันเลยสักนิด

ตอนที่กำลังจะกลับ ก็มีโต๊ะนักเลงขี้เมากลุ่มหนึ่งเข้ามาหาเรื่อง

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มคุยกับฉันก่อน

"ญาณี ฉันไม่เป็นไร เธอรีบหนีไป"

แน่นอนว่าฉันไม่ได้ไปไหน กรณ์ถูกตีจนหัวแตกเลือดอาบเพื่อปกป้องฉัน ฉันจึงโทรแจ้งตำรวจ แล้วก็ย่องไปข้างหลังก่อนจะเอาขวดเหล้าฟาดหัวพวกนักเลงนั่นคนละที

ที่โรงพยาบาล ฉันพูดกับกรณ์ที่หัวพันไปด้วยผ้าพันแผลว่า

"ฉันช่วยนายไว้นะ นายต้องตอบแทนฉันดีๆ"

กรณ์พูดเสียงอู้อี้ "ชีวิตก็ให้เธอไปแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก"

ฉันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ "ชีวิตเป็นของฉัน นายก็เป็นของฉันด้วย"

กรณ์ฝืนยิ้มทั้งที่ยังเจ็บแผล "ได้"

เพราะเรื่องนี้ กรณ์เลยพลาดทุนการศึกษาของปีนั้นไป และมหาวิทยาลัยก็ออกกฎห้ามนักศึกษาทำงานพิเศษด้วย

ฉันแอบเอาเงินค่าขนมของตัวเองไปให้กรณ์ แต่เขาก็ปฏิเสธ

ทุกคนต่างก็ลือกันว่ากรณ์เกาะคุณหนูบ้านรวย ฉันโกรธจนทนไม่ไหว คิดจะไปจัดการกับพวกเขา แต่ก็ถูกกรณ์ห้ามไว้

ต่อมาบริษัทที่บ้านฉันล้มละลาย พ่อก็หอบเอาสมบัติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดหนีไปต่างประเทศ ทิ้งไว้ให้ฉันแค่เบอร์โทรศัพท์ที่โทรไม่ติดเบอร์เดียว

ฉันร้องไห้พลางถามกรณ์ "นายก็จะทิ้งฉันไปอีกคนใช่ไหม"

กรณ์ทำหน้าขรึมแล้วล้วงแหวนเพชรวงหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วบอกฉันว่าจะไม่มีวันนั้น

นั่นคือเงินก้อนแรกที่เขาหามาได้ด้วยตัวเอง

ในความฝัน เขายังคงอ่อนโยนเหมือนเดิม เขากอดฉัน และปลอบโยนฉันเบาๆ

ร่างกายของฉันก็อบอุ่นขึ้นมา ความเจ็บปวดที่กัดกินลึกถึงกระดูกก็ดูเหมือนจะค่อยๆ จางหายไป

พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นตอนกลางคืนแล้ว

บนโต๊ะข้างเตียงมีแก้วน้ำที่เย็นชืดวางอยู่ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอามาให้

ฉันเปิดมือถือ บนติดเทรนด์มีเรื่องใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว

รูปที่กรณ์อุ้มขวัญจิราไปโรงพยาบาล ปรากฏอยู่บนนั้นอย่างชัดเจน

【แค่น้ำร้อนลวกไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ขาหักซะหน่อย จำเป็นต้องอุ้มไม่ปล่อยขนาดนั้นเลย?】

【ข้างบนจะอิจฉาอะไร เขารักกันจริง ผู้ชายดีๆ แบบท่านประธานหายากจะตาย】

【ได้ยินว่าแผลนี้เป็นฝีมือนายหญิงเองเลยนะ มีคนเห็นที่ร้านอาหารตะวันตก】

【ใจร้ายขนาดนี้! ไม่แปลกใจเลยที่ท่านประธานจะนอกใจ】

ฉันหัวเราะเยาะตัวเองเบาๆ แล้วก็ปิดมือถือไปเงียบๆ

ของที่จะต้องใช้ตอนเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลพรุ่งนี้ยังไม่ได้จัดเลย เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดของฉันจะเอามาเสียไปกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้

ในตระกูลเธียรวัฒน์ ฉันไม่มีของใช้ส่วนตัวอะไรมากมายนัก

หลังจากแต่งงาน กรณ์ให้ฉันแค่เงิน และฉันก็เอาเงินทั้งหมดไปใช้ในการรักษาตัว

เมื่อดึงลิ้นชักออกมา ก็เจอกล่องแหวนเก่าๆ กล่องหนึ่ง

พอเปิดออก ข้างในก็คือแหวนวงที่กรณ์ให้ฉันนั่นเอง

ตอนนั้นจนจริงๆ เลยนะ แม้แต่เพชรหนึ่งกะรัตก็ยังซื้อไม่ไหว

ไม่เหมือนตอนนี้ แหวนเพชรที่เขามอบให้ขวัญจิรามีราคาตั้งหลายแสน

ฉันเก็บแหวนวงนั้น แล้วก็จัดของใช้ในชีวิตประจำวันอีกเล็กน้อย

เสียงแจ้งเตือนจากมือถือดังขึ้นติ๊งหนึ่ง เป็นข้อความจากหมอภาคิน

"เตียงคนไข้จัดเตรียมไว้ให้แล้วนะครับ ถ้าพร้อมแล้ว คืนนี้เข้ามานอนโรงพยาบาลก่อนได้เลย"

ฉันตอบกลับไปว่าตกลงค่ะ

ตระกูลเธียรวัฒน์ไม่มีอะไรให้ฉันต้องอาลัยอาวรณ์อีกแล้ว ป่านนี้กรณ์คงกำลังเฝ้าขวัญจิราอยู่ที่โรงพยาบาลสินะ

ฉันยิ้มออกมาบางๆ

ฉันหิ้วกระเป๋าสัมภาระน้อยนิดที่น่าสมเพชออกจากบ้าน

แผนกผู้ป่วยใน

ตอนที่ฉันไปถึง หมอภาคินเลิกงานไปแล้ว

พยาบาลเวรพาฉันไปที่ห้องพักผู้ป่วย ในห้องมีทั้งหมดสามเตียง มีคนนอนอยู่แล้วสองเตียง และพวกเขากำลังจะพักผ่อนกัน

พยาบาลพาฉันไปที่เตียงว่างริมหน้าต่าง แล้วกำชับเบาๆ "พรุ่งนี้เช้าให้งดน้ำงดอาหารแล้วไปเจาะเลือดที่เคาน์เตอร์พยาบาลก่อนนะคะ จากนั้นไปตรวจร่างกายที่ชั้นหนึ่ง ถ้าผลตรวจปกติ มะรืนนี้ก็สามารถนัดผ่าตัดได้เลยค่ะ"

พอเห็นว่าฉันมาคนเดียว เธอก็ขมวดคิ้ว "การผ่าตัดต้องมีญาติเซ็นยินยอมนะคะ และหลังผ่าตัดก็ต้องมีญาติคอยดูแลด้วย ญาติของคุณจะมาเมื่อไหร่คะ?"

ฉันชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามเสียงแผ่ว "ฉันเซ็นเองได้ไหมคะ?"

"ไม่ได้ค่ะ ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ? รีบโทรหาญาติให้มาเซ็นพรุ่งนี้นะคะ"

พูดจบพยาบาลก็เดินจากไป

ฉันจัดของที่เอามาให้เข้าที่ แล้วถือมือถือเดินออกไปที่ทางเดิน

เตียงในแผนกมะเร็งวิทยาเต็มแน่นมาก แม้แต่ตามทางเดินก็ยังมีญาติผู้ป่วยกางเตียงพับนอนกันอยู่

ฉันมองดูพวกเขา ในใจก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย

กรณ์ยังไม่รู้เรื่องที่ฉันเป็นมะเร็ง เดิมทีฉันไม่ได้อยากจะบอกเขา แต่คนที่จะเซ็นให้ได้ก็มีแค่เขาคนเดียว

แค่ขวัญจิราโดนน้ำร้อนลวก เขายังเป็นห่วงขนาดนั้น ถ้าเขารู้ว่าฉันเป็นมะเร็ง เขาจะเป็นอย่างไรกันนะ?

พอคิดมาถึงตรงนี้ ในใจของฉันก็เผลอมีความคาดหวังที่น่าขำผุดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ฉันหาหลบไปมุมที่ปลอดคน แล้วตัดสินใจโทรออกไปหากรณ์

เสียงรอสายดังอยู่นานมาก กว่าจะมีคนรับสาย

ปลายสายเป็นเสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์ของผู้ชายดังขึ้น "ใครครับ?"

บทก่อนหน้า
บทถัดไป