บทที่ 5 ได้รับบาดเจ็บ

มือที่กำลังถือโทรศัพท์ของฉันกำแน่นขึ้นมาทันที

หน้าอกข้างซ้ายเริ่มปวดแปลบขึ้นมาอีกครั้ง

ที่แท้ในโทรศัพท์ของกรณ์ ฉันไม่มีแม้กระทั่งชื่อที่บันทึกไว้

ฉันเม้มริมฝีปากเบาๆ “ฉันเอง พรุ่งนี้คุณว่างไหมคะ?”

ปลายสายของกรณ์นิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบกลับมาอย่างเย็นชา “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”

ฉันพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “พรุ่งนี้ฉันต้องผ่าตัด หมอบอกว่าต้องให้ญาติเซ็นยินยอม คุณ...”

ยังไม่ทันพูดจบ เสียงหัวเราะเยาะของกรณ์ก็ดังขึ้นมาจากปลายสาย

“ญาณี เดี๋ยวนี้เธอเจ้าเล่ห์เกินไปแล้วนะ เห็นว่าฉันพาขวัญมาโรงพยาบาลก็เลยรู้สึกไม่พอใจใช่ไหม? ขนาดเรื่องแค่นี้ยังจะเอามาเรียกร้องความสนใจ”

ฉันรีบอธิบาย “ไม่ใช่แบบนั้นนะ ฉันต้องผ่าตัดจริงๆ ไม่ได้โกหกคุณ”

กรณ์แค่นหัวเราะ “ถ้าเธอป่วยจริง ตอนกลางวันคงไม่ตามไปหาเรื่องขวัญที่ร้านอาหารหรอก”

ฉันรู้สึกหมดแรงในทันที คำอธิบายทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์ กรณ์ไม่เคยเชื่อใจฉันเลย

ฉันกำลังจะพูดอะไรต่อ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงออดอ้อนของขวัญจิราดังมาจากในสาย

“กรณ์คะ แผลเค้าเจ็บจังเลย คุณเป่าให้หน่อยสิคะ”

กรณ์ตอบรับด้วยน้ำเสียงตามใจว่าได้ แล้วก็เตรียมจะวางสาย

ฉันยังไม่ยอมแพ้และพูดออกไป “กรณ์ ถ้าพรุ่งนี้คุณไม่มา ฉันต้องตายแน่ๆ”

ปลายสายของกรณ์พูดเน้นทีละคำ “ญาณี ในใจของฉันน่ะ ตั้งแต่วินาทีที่เธอทิ้งฉันไปต่างประเทศ เธอก็ตายไปจากใจฉันแล้ว”

พูดจบเขาก็วางสายไป

ฉันยืนนิ่งงันอยู่กับที่

ใบหน้าของฉันเย็นเฉียบ

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ฉันก็ถูกใครบางคนเรียกให้ตื่น

เมื่อลืมตาขึ้น ท่ามกลางแสงสีขาวสว่างจ้า ฉันก็เห็นใบหน้าของภาคิน

แววตาที่อยู่หลังเลนส์แว่นนั้นดูจริงจังอย่างที่สุด ทำให้ฉันตื่นเต็มตาในทันที

“สภาพร่างกายตัวเองเป็นยังไงไม่รู้หรือไง? ดึกดื่นค่ำมืดแล้วยังจะวิ่งไปทั่วอีก เป็นลมหมดสติอยู่ตรงโถงบันได ถ้าไม่ใช่ว่าพยาบาลไปเจอทันเวลา ป่านนี้คุณคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว”

ฉันอ้าปากพะงาบๆ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

ภาคินยืนอยู่ข้างเตียงของฉันพร้อมกับหูฟังแพทย์ “ต้องมีคนคอยดูแลคุณนะ ก่อนผ่าตัดยังต้องตรวจอะไรอีกหลายอย่าง”

ฉันพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ไม่ต้องหรอกค่ะหมอภาคิน ฉันอยู่คนเดียวได้”

เขามองฉันอย่างเป็นห่วง

ฉันรีบรับประกัน “หลังจากนี้ฉันจะระวังตัวค่ะ จริงๆ นะคะ แล้วก็เรื่องเซ็นเอกสารผ่าตัด ฉันจัดการเองได้ค่ะ”

ภาคินไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อมอะไรต่อ “ตอนที่คุณหมดสติไป พยาบาลได้ติดต่อครอบครัวของคุณแล้ว สามีคุณบอกว่าอีกสักครู่จะมา”

ฉันนิ่งอึ้งไปทันที

กรณ์จะมาเหรอ?

เป็นไปไม่ได้

ฉันรีบถามต่อ “ติดต่อใครไปเหรอคะ? สามีฉันงานยุ่งมาก ไม่น่าจะมีเวลามาได้”

ภาคินเก็บหูฟังแพทย์แล้วพูดขึ้นมาลอยๆ “เขาบอกว่าบังเอิญอยู่เฝ้าไข้ให้ใครคนหนึ่งที่โรงพยาบาลพอดี อยู่ใกล้ๆ นี่เอง”

“อะไรกัน คุณไม่รู้เหรอ?”

ฉันพยายามยกมุมปากขึ้น แต่รอยยิ้มที่ได้กลับดูฝืนเต็มทน

จะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ ในเมื่อขวัญจิราถูกผู้หญิงใจร้ายอย่างฉันทำร้ายจนแขนโดนน้ำร้อนลวก เขาก็ต้องอยู่เฝ้าที่โรงพยาบาลอยู่แล้ว

เมื่อเห็นว่าฉันไม่ตอบ ภาคินก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ

เขายืดตัวตรงแล้วกำชับว่า “แผลที่มือจัดการให้แล้วนะ ระวังอย่าให้โดนน้ำ”

ฉันก้มลงมองดู บนท่อนแขนซ้ายมีผ้าก๊อซสี่เหลี่ยมแปะอยู่ พอขยับนิดหน่อยก็ยังรู้สึกเจ็บ

พยาบาลสาวที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้น “น่าจะโดนข่วนตอนที่ล้มนะคะ หมอภาคินเป็นคนทำแผลให้คุณด้วยตัวเองเลย”

ฉันเพิ่งจะเอ่ยขอบคุณ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น แผ่นหลังของภาคินก็หายลับไปที่ประตูแล้ว

“ต้องรบกวนพวกคุณแล้ว”

ฉันพยายามจะยิ้ม แต่ก็ยิ้มไม่ออก

พยาบาลสาวโบกมือ “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วค่ะ เดี๋ยวอย่าลืมไปเจาะเลือดกับตรวจร่างกายนะคะ พอสายๆ คนจะเยอะ ต้องรอคิว”

ฉันพยักหน้า

เธอพูดจบก็เดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป ฉันเอนหลังพิงเตียงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นไปที่เคาน์เตอร์พยาบาลเพื่อเจาะเลือด

ฉันกลัวเข็มมาก

สมัยที่ยังคบกับกรณ์ มีครั้งหนึ่งที่ฉันป่วยแล้วต้องตรวจเลือด

พอรับบัตรคิวเสร็จฉันก็คิดจะหนี แต่เขาเป็นคนลากฉันไปที่ช่องเจาะเลือด

ภายในห้องโถงของโรงพยาบาลที่อบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ฉันหลบอยู่ข้างหลังเขาไม่กล้าลืมตา

กรณ์ปลอบฉันอย่างใจเย็นจนฉันยอมไปนั่งที่เก้าอี้

“ญาณี เธอจะหลบอยู่ข้างหลังฉันตลอดไปไม่ได้นะ เข้มแข็งหน่อย ไม่ว่าเรื่องจะยากลำบากแค่ไหน ฉันจะอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนเธอเสมอ”

เข็มฉีดยาเย็นเยียบแทงทะลุเส้นเลือด ฉันมองดูเลือดสีแดงคล้ำค่อยๆ ไหลจากปลายเข็มเข้าไปในหลอดเก็บเลือด ในแววตาของฉันกลับว่างเปล่าไร้ความรู้สึก

กรณ์ ตอนนี้ฉันไม่กลัวเข็มแล้ว

แต่คุณ...อยู่ที่ไหนกัน?

หลังจากเจาะเลือดไปสี่หลอดเพื่อส่งตรวจ ฉันก็ลงไปที่ชั้นหนึ่งเพื่อเตรียมตัวตรวจรายการอื่นต่อ

ขณะที่กำลังต่อคิวอยู่ กรณ์ก็จูงมือขวัญจิราเดินเข้ามาจากทางประตูพอดี

ทั้งคู่ช่างเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก เป็นภาพที่ยากจะละสายตา

เขายังคงมีใบหน้าเย็นชาเช่นเคย อยู่ในชุดสูทสีดำที่ไม่ผูกเนคไท ซึ่งเป็นสไตล์การแต่งตัวปกติของเขา มือของขวัญจิราคล้องแขนของเขาไว้ ก่อนจะประสานนิ้วมือของทั้งคู่ไว้ด้วยกันที่ด้านหน้า

ขวัญจิราอยู่ในชุดเดรสสีอ่อน ผมลอนสวยงามยาวสลวยถึงเอว มือข้างที่โดนลวกกำลังหิ้วปิ่นโตเก็บความร้อนสีชมพู บนแขนยังมีรอยแดงจางๆ อยู่ ดูแล้วช่างน่าสงสาร

ฉันก้มลงมองตัวเอง เพื่อความสะดวกในการนอนโรงพยาบาล ฉันจึงใส่ชุดอยู่บ้านสีเทา

เมื่อคืนฉันเป็นลมหมดสติที่โถงบันได ทำให้เสื้อผ้าทั้งสกปรกทั้งยับยู่ยี่ ยังไม่ทันได้เปลี่ยน

ฉันค่อยๆ หันหน้าไปทางอื่นอย่างเงียบๆ

แต่แล้วเสียงหวานๆ ของขวัญจิราก็ดังมาจากข้างหลัง

“กรณ์คะ คุณดูสิ นั่นใช่พี่ญาณีหรือเปล่าคะ?”

ฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัว เธอก็รีบเดินเข้ามาจากข้างหลังแล้วคว้าแขนของฉันไว้

แผลที่แขนซ้ายส่งความเจ็บปวดตุบๆ ออกมา ฉันสะบัดเธอออกไปตามสัญชาตญาณ

ได้ยินเพียงเสียงตุ้บ ปิ่นโตเก็บความร้อนหล่นกระแทกพื้นอย่างแรง ข้าวต้มข้างในหกกระจายเกลื่อนพื้น

ทั้งห้องโถงของโรงพยาบาลเงียบกริบในทันที ฉันหันกลับไป และสบเข้ากับใบหน้าที่ดำคล้ำของกรณ์พอดี

บทก่อนหน้า
บทถัดไป