บทที่ 6 ค่าครองชีพ

“นี่ยังจะลงมืออีกเหรอ!”

ฉันขมวดคิ้ว “ฉันเปล่านะคะ เธอมาโดนแผลฉัน”

กรณ์มองไปที่แขนของฉัน แต่ไม่ได้พูดอะไร

ขวัญจิราน้ำตาคลอเบ้า พูดอย่างน้อยใจว่า “เป็นความผิดของขวัญเองค่ะที่ทำให้พี่ญาณีตกใจ”

กรณ์ดึงเธอเข้ามากอด แล้วสำรวจอย่างละเอียด “เธอไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม?”

ขวัญจิราส่ายหน้า “ไม่ค่ะ แค่เสียดายโจ๊กที่ขวัญเพิ่งทำเสร็จ”

สีหน้าของกรณ์เคร่งขรึมลง เขากอดขวัญจิราแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าฉัน

“ญาณี หมอไม่ได้บอกเหรอว่าอาการเธอน่าเป็นห่วงมาก แค่แผลแค่นี้เนี่ยนะ?”

เขามองผ้าพันแผลบนแขนของฉันด้วยสายตาเย้ยหยันและน้ำเสียงดูถูก

“เมื่อวานบอกว่าต้องผ่าตัดให้ฉันเซ็นยินยอม วันนี้แขนก็มีแผลเพิ่มมาอีกแผล ลูกไม้ของเธอนี่มันเยอะจริงๆนะ”

กรณ์แค่นหัวเราะ “ฉันเพิ่งจะรู้นะเนี่ย ว่าแค่เจ็บแขนก็ต้องนอนโรงพยาบาลด้วย”

ขวัญจิราพูดอย่างไม่เห็นด้วย “ใช่ค่ะพี่ญาณี คราวหน้าอย่าทำให้พวกเราตกใจแบบนี้สิคะ ตอนที่คุณหมอโทรมาเมื่อเช้านี้ ขวัญกับพี่กรณ์ยังพักผ่อนกันอยู่เลย นึกว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นซะอีก”

ฉันมองพวกเขาเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกไป

ตั้งแต่เมื่อคืนที่ต้องงดอาหารจนถึงตอนนี้ แถมยังถูกเจาะเลือดไปไม่น้อย ทำให้สายตาของฉันเริ่มพร่ามัว

แต่ใบหน้าที่เย็นชาของกรณ์ก็คอยทิ่มแทงฉันอยู่ตลอดเวลา

เขาไม่เคยเชื่อคำพูดของฉันเลยสักครั้ง และก็ไม่เคยสนใจฉันเลยสักครั้ง

มีส่วนหนึ่งในใจที่ค่อยๆ เย็นชาจนแข็งทื่อ ดูเหมือนว่าฉันไม่ได้เจ็บปวดขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว

ห้องตรวจเริ่มขานเรียกคิว ฉันได้ยินชื่อตัวเองแล้วจึงเดินไปทางนั้น

กรณ์ขวางฉันไว้

“อะไรกัน โกหกไม่สำเร็จก็จะหนีแล้วเหรอ”

เขาเดินเข้ามาใกล้ฉัน พูดอย่างไม่เกรงใจ “อย่าลืมสิว่าเธอยังติดค้างคำขอโทษขวัญอยู่นะ”

ฉันรู้สึกเหนื่อยทั้งกายทั้งใจ “กรณ์ คุณต้องทะเลาะกับฉันที่โรงพยาบาลให้ได้เลยใช่ไหม”

อาจจะเป็นเพราะสีหน้าของฉันดูแย่เกินไป

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ตอแยฉันต่อ

ประตูห้องตรวจปิดลงอย่างแรง ฉันได้ยินกรณ์ถามพยาบาลที่อยู่ข้างๆ ว่านี่เป็นการตรวจอะไร

พอฉันออกมา พวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว

พอกลับมาถึงห้องพักผู้ป่วย บนโต๊ะข้างเตียงก็มีอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการวางอยู่

ยังไม่ทันที่ฉันจะถาม ญาติที่มาเฝ้าไข้เตียงข้างๆ ก็ขยิบตาให้ฉัน “หนุ่มหล่อส่งมาให้แน่ะ รีบกินตอนร้อนๆ สิ”

ฉันรู้สึกว่ามันน่าขำนิดหน่อย แต่กลับไม่มีแรงเลย

ฉันไม่มีเวลาคิดอะไรมาก ได้แต่พิงหัวเตียงแล้วกินอาหารเช้าจนหมด

ตอนสายพยาบาลมาให้ยาทางสายน้ำเกลือ พอถึงตอนกลางวัน ญาติของคนไข้ในห้องเห็นว่าฉันอยู่คนเดียว ก็ใจดีเสนอว่าจะซื้อข้าวมาให้

ฉันจึงฝากเธอซื้อของกินมาให้หน่อย

พรุ่งนี้ต้องผ่าตัดแล้ว ยังไงก็ต้องกินข้าวให้ตรงเวลา

ตอนที่หมอภาคินมาตรวจวอร์ด เขาก็เอารายงานผลตรวจของฉันมาด้วย

“ค่าต่างๆ โดยรวมปกติ แต่สภาพร่างกายแย่เกินไป”

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมอสั่งสารอาหารให้แล้ว เดี๋ยวต้องให้ยาทางสายน้ำเกลืออีก”

ฉันพยักหน้าอย่างว่าง่าย

“อ้อ แล้วญาติจะมาเซ็นเอกสารเมื่อไหร่?”

ฉันพูดเรียบๆ “ฉันเซ็นเองค่ะ เขามาไม่ได้จริงๆ”

ภาคินขมวดคิ้ว “เมื่อเช้าเขาไม่ได้มาส่งข้าวให้เหรอ?”

ฉันนึกว่าเขาหมายถึงเรื่องวุ่นวายที่ชั้นหนึ่ง เลยไม่ได้ตอบอะไร

หมอภาคินยุ่งมาก เขาแค่บอกว่าจะให้พยาบาลเอาหนังสือยินยอมมาให้ฉันเซ็น แล้วก็ไปตรวจวอร์ดต่อ

ตอนบ่าย พยาบาลมาให้สารอาหารทางสายน้ำเกลือ แล้วก็เอาหนังสือยินยอมมาให้ฉันเซ็น

การผ่าตัดถูกกำหนดไว้ตอนสิบโมงเช้าวันรุ่งขึ้น

ตื่นเช้ามา ฉันส่งข้อความไปหาดารินทร์

ไม่นานก็มีข้อความตอบกลับมา

【สู้ๆ นะญาณี หมอภาคินเก่งจะตายไป มีเขาอยู่ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน รอให้เธอหายดีก่อนนะแล้วฉันจะไปเยี่ยม】

ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

สิบโมงตรง พยาบาลเข็นฉันเข้าไปในห้องผ่าตัดตรงเวลา

ใต้แสงไฟไร้เงาสีขาวสว่างจ้า ใบหน้าของภาคินดูคุ้นเคยแต่ก็แปลกหน้า

เขาสวมหน้ากากอนามัย แววตาหลังเลนส์แว่นดูมุ่งมั่น ไม่แสดงอารมณ์อื่นใดออกมา

เมื่อเห็นท่าทางที่เคร่งขรึมจริงจังของเขา ใจที่เคยตื่นเต้นของฉันก็สงบลงมาก

ยาสลบค่อยๆ ออกฤทธิ์

ร่างกายค่อยๆ เย็นลง ในความเลือนราง ฉันได้ยินเสียงของกรณ์

ฉันเหมือนได้ฝันไป... เป็นฝันที่ยาวนานมาก

ในฝันนั้น ที่งานรับปริญญา ฉันยังคงปฏิเสธคำขอแต่งงานของกรณ์

ในห้องเช่าแคบๆ กรณ์นั่งอยู่บนพื้น รอบตัวมีแต่ขวดเหล้า

ข้างกายเขามีโทรศัพท์เครื่องหนึ่งที่สายไม่ว่างตลอดเวลา ชื่อที่บันทึกไว้คือญาณี

ภาพตัดไปอีกที เขาก็กลายเป็นประธานบริษัทที่อายุน้อยที่สุดในปักกิ่งแล้ว

จากนั้นก็เป็นภาพที่คฤหาสน์ของตระกูลเธียรวัฒน์

กรณ์พาผู้หญิงไม่ซ้ำหน้ามาเสพสุขทั้งวันทั้งคืน

ฉันนั่งอยู่หน้าประตูห้องนอน ตัวงอเป็นกุ้งด้วยความเจ็บปวด

เจ็บ... เจ็บเหลือเกิน

ความเย็นเยียบที่ซึมออกมาจากรอยต่อของกระดูกทำให้ฉันตัวสั่นไปทั้งตัว

เสียงฟันกระทบกันเพราะความหนาวสั่นดังขึ้นเรื่อยๆ

ทันใดนั้น ความเจ็บปวดที่เสียดแทงถึงหัวใจก็จู่โจมเข้ามา ทำให้ฉันตื่นจากความฝัน

สภาพแวดล้อมรอบตัวไม่ใช่ห้องพักผู้ป่วยห้องเดิมของฉันอีกต่อไป

เมื่อเห็นว่าฉันฟื้นแล้ว พยาบาลก็รีบวิ่งไปที่ห้องทำงานของแพทย์

ไม่นานนัก ภาคินในชุดกาวน์สีขาวก็รีบร้อนเดินเข้ามา

“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”

เขามีท่าทีร้อนใจเล็กน้อย พอเห็นฉันพยักหน้าช้าๆ ก็ดูเหมือนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ฟื้นแล้วก็ดี การผ่าตัดสำเร็จด้วยดี หลังจากนี้ต้องสังเกตอาการต่ออีกสองสามวัน ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ถือว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว”

ฉันกะพริบตา พูดอะไรไม่ออก

ในห้องไอซียูมีแค่ฉันที่เป็นคนไข้เพียงคนเดียว

มีพยาบาลคอยดูแลอยู่ข้างๆ ฉันจิบน้ำไปอึกหนึ่ง แล้วเปิดโทรศัพท์มือถืออย่างยากลำบาก

มีเพียงข้อความและบันทึกสายที่ไม่ได้รับจากดารินทร์ไม่กี่รายการ

ฉันกลัวว่าเธอจะกังวล เลยรีบโทรกลับไป

ปลายสายรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็รัวคำถามใส่เป็นชุด

“ทำไมเพิ่งติดต่อมา เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง?”

เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ฉันก็รู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก แต่ก็พยายามสะกดกลั้นมันกลับเข้าไป

“ไม่มีอะไรหรอก ทำให้เธอเป็นห่วงแล้ว”

ฉันพยายามทำใจให้เข้มแข็ง

ดารินทร์ถามฉันว่าตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็กำชับอีกสองสามคำ บอกว่าถ้ามีเวลาจะมาเยี่ยมฉัน แล้วจึงวางสายไปอย่างเสียดาย

วันเวลาในห้องผู้ป่วยหนักค่อนข้างน่าเบื่อ

ภาคินไม่อนุญาตให้ฉันลงจากเตียง เขาบอกว่าร่างกายของฉันอ่อนแอเกินไป ให้พักฟื้นเงียบๆ ไปก่อนสองสามวัน

รอให้อาการดีขึ้นก่อน แล้วค่อยเริ่มขยับตัว

แม้ว่าการผ่าตัดจะสำเร็จด้วยดี แต่การรักษาด้วยยาหลังผ่าตัดยังคงต้องดำเนินต่อไป

แต่ค่ารักษาพยาบาลของฉันก็ใกล้จะหมดแล้ว

ฉันมองดูสตอรี่ของขวัญจิรา เธอกับกรณ์ไปมัลดีฟส์ด้วยกัน

ทิวทัศน์เกาะที่สวยงาม แสงแดดเจิดจ้าจนน่ากลัว

ฉันมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ฉันยกมือขึ้นส่งข้อความไปหากรณ์

【ค่าใช้จ่ายเดือนนี้ โอนมาให้ฉันห้าแสน】

ในขณะที่ฉันนอนโรงพยาบาล เขากลับพาชู้รักไปเที่ยวพักผ่อนอย่างสบายใจ การขอเงินจำนวนนี้ ฉันไม่คิดว่ามันมากเกินไปเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรเสีย ฉันก็ยังเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา

บทก่อนหน้า
บทถัดไป