บทที่ 1 ปฐมบท
มธุรส คือสาวออฟฟิศที่มีช่วงชีวิตที่จืดจางตั้งแต่เด็กจนถึงวัยทำงาน
ชื่อของเธอหมายความว่าน้ำผึ้งรสหวาน แต่สาวเจ้ากลับไร้ความหวานราวกับน้ำเปล่าก็ไม่ปาน เธอเติบโตมาที่กรุงเทพมหานคร ถูกเลี้ยงดูมาเหมือนเด็กสาวทั่วไป หากแต่มธุรสแต่กลับมีพรสวรรค์ด้านความจืดจางเป็นที่หนึ่ง ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนคุย ไม่มีใครจนเรียนจบ
เธอจบคณะอักษรมาแล้วต่อด้วยทำงานเป็นทีมงานพิสูจน์อักษรที่ไม่มีบทบาทหน้างาน ยิ่งไร้คนรู้จักเข้าไปใหญ่
หน้าตาบ้านๆ จืดชืดไร้เสน่ห์ สัดส่วนไม่ต้องพูดถึง แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ แน่นอนว่าตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของผู้ชาย ไม่มีใครคิดที่จะมาจีบสาวแว่นหน้าตาบ้านๆ และหุ่นตอไม้เช่นนี้
จนอายุยี่สิบห้าปี วัยเบญจเพสทำให้สาวเจ้าประสบวิบากกรรมจนถึงแก่ชีวิต
ติ๊ด ติ๊ด
เสียงเซ็งแซ่ที่พร่าเบลอของหมอและพยาบาลที่วิ่งวุ่นผ่าตัดร่างกายที่ชุ่มเลือดของเธอดังอื้ออึงข้างหูพอๆ กับเสียงสัญญาณชีพจรที่เต้นอ่อนลงทุกที แว่นตาที่แตกละเอียดเปรอะเลือดถูกวางอยู่ข้างๆ ผ้าซับเลือด คนตัวผอมเพรียวเหลียวไปมองอย่างเชื่องช้า เธอชาไปทั้งตัว และรู้สึกเหมือนสติจะเริ่มเลือนราง
นี่เรากำลังจะตายแล้วเหรอ?
เกิดคำถามสุดท้ายกับดวงวิญญาณที่กำลังจะหลุดออกจากร่าง มธุรสถามตัวเอง แต่กลับไม่รู้สึกเสียดายชีวิตที่หดหู่เช่นนี้ ดีซะอีกที่เธออาจจะได้เกิดใหม่โดยมีชีวิตที่ดีกว่านี้ อย่างน้อยเป็นหมาของไอดอลเกาหลีก็ได้ เธอหลับตาลงและภาวนากับตัวเอง
แต่คำขอสุดท้ายก่อนที่จะตาย
‘หนูอยากมีผัวค่ะ หนูไม่เคยมีผัวมาก่อน อย่างน้อยถ้าเกิดชาติใหม่ ขอผัวหล่อๆ แซ่บๆ หุ่นล่ำและดุดันเร้าใจด้วยเทอญ’
วาบ
“เฮือก!”
เสียงหวานร้องลั่นพร้อมกับผุดกายลุกขึ้นมากลางที่นอนท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่กึกก้องราวกับกำลังมีแผ่นดินไหวก็ไม่ปาน เสียงปะทะกันของเหล็กดังขึ้นอยู่ด้านนอกดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก มธุรสเบิกตากว้างมองไปรอบๆ ห้องที่ตกแต่งสไตล์ไทยโบราณ ทั้งเครื่องฉลุลาย ผนังฉลุวิจิตรสวยงาม ที่ดูเหมือนตัวเองย้อนยุคมาในละครจักรๆ วงศ์ๆ ก็ไม่ต่าง
เอ้ะ นี่มันคืออะไร ฝันเหรอ
เธอถามตัวเองตอนที่โซซัดโซเซเพราะเสียงกึกก้องและพื้นดินที่สั่นสะเทือน เสียงกรีดร้องดังแว่วมาจากที่ไกลๆ เหมือนเป็นผู้คนจำนวนมากกำลังวิ่งหนีตายจากอะไรสักอย่าง แต่เพราะว่ามธุรสฝันร้ายอยู่บ่อยครั้ง เธอค่อนข้างมีสติในฝันได้อย่างน่ามหัศจรรย์
คนตัวเล็กลุกขึ้นยืน รู้สึกอึดอัดเพราะชุดไทยย้อนยุคที่ใส่ สบงสไบอะไรก็ไม่รู้พาดไหล่เกะกะไม่คล่องตัวเอาเสียเลย เธอสะบัดผมยาวๆ อย่างงุ่นง่านใจ ก่อนที่จะถกกระโปรงเดินไปดูตัวเองหน้ากระจกโบราณบานใหญ่
“โอ้คุณพระ” เพราะสภาพแวดล้อมนั้นทำให้มธุรสเผลออุทานคำที่ผู้เฒ่าผู้แก่มักใช้พูดกันบ่อยๆ ออกมา เพราะภาพที่ปรากฎขึ้นผ่านบานกระจกตรงหน้ามันไม่มีเค้าโครงเดิมของตัวเธอก่อนหน้านั้นเลยสักนิด
หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวขาวผ่องเนียนตา ตัวเล็กเอวเอส ผมยาวสีดำขลับแถมยังตรงสวย ภาพลักษณ์ดูลูกคุณหนู หน้าตาดูไร้พิษสงแถมดูจะเป็นคนเมตตาต่อสัตว์โลกอีกต่างหาก เธอขยับใบหน้ารูปไข่ใกล้กระจกอีกนิด หันซ้ายหันขวา ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็งดงามจริงๆ
เหมือนนางในวรรณคดี แต่มาในรูปแบบจิ้มลิ้มกว่าหน่อย
ปึง!
เฮือก
สะดุ้งอีกครั้งเมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง เป็นผู้ชายท่าทางมีอายุ แต่งตัวด้วยชุดไทยเหมือนจะเป็นคนใหญ่คนโตในสมัยก่อน หน้าตาเขาดูตื่นตระหนกตอนที่เห็นว่าเธอยืนส่องตัวเองอยู่หน้ากระจก ด้านหลังมีเหล่าทหารที่ตัวใหญ่กว่ามนุษย์ปกติเป็นเท่าตัวนับสิบยืนจังก้าคุมตัวชายมากอายุผู้นั้นอยู่
“เจ้าจันทร์! ลูกฟื้นไข้แล้วอย่างนั้นหรือ!” เขาพูดศัพท์โบราณดูออกจะจักรๆ วงศ์ๆ ใส่จนเธอมึนงง แล้วปรี่เข้ามาคว้าข้อมือเล็กที่ใส่กำไลทองให้เดินมาด้วยกัน “คุณพระ ลูกทำให้พ่อโล่งใจยิ่ง”
อะไรอ่ะ เกิดอะไรขึ้น
เธอยังคงไม่เข้าใจ จนถูกกึ่งลากกึ่งจูงมาในห้องที่อลังการ (แบบโบราณคดี) แล้วเธอก็ถูกชายสูงอายุคนนั้นรั้งให้นั่งคุกเข่าต่อหน้าชายตัวใหญ่ผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองที่ถูกประดับด้วยงาช้าง ห้องที่ถูกทำด้วยทองคล้ายๆ วัดในยุคปัจจุบันที่เธอเคยเห็นผ่านตาทำให้แววตาเธอมองหลุกหลิกไปมาไม่หยุด
สวยตระการตาสุดๆ ถ้าในฝันจะชัดแบบเรียลไทม์ขนาดนี้ เหมือนได้ดูหนังแบบ 4K เลย
“ขะ... ข้าพาเจ้าจันทร์มาแล้ว ท่านต้องการกระไรเชิญว่ามาได้เลย พระสุวรรณราพณ์”
พอได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นเคยแถมออกจะลิเกแบบสุดๆ มธุรสก็หันหน้าไปสำรวจชายตรงหน้าจากที่ตอนแรกมัวแต่มองห้องกว้างที่โอ่โถง แต่กลายเป็นว่าเธอแทบลมจับเมื่อเห็นว่าชายผู้นั้นตัวใหญ่กว่ามนุษย์มนาทั่วไปเหมือนคนมียีนส์โครงสร้างที่ผิดปกติ ดูจะตัวใหญ่กว่าทหารที่ดึงตัวชายสูงอายุกับเธอมาที่นี่ด้วย เขาน่าจะสูงราวๆ สองร้อยกว่าเซนติเมตรได้ แถมยังบึกบึนร่างยักษ์ ผมยาวหยักโศกสีดำสนิท หน้าตาหล่อเหลาแต่ทว่ากลับคมกร้าวดุดันน่าเกรงขามมาก
ชายตัวใหญ่ผู้นั้นเปลือยท่อนบน สวมใส่แค่กางเกงอะไรสักอย่างที่ออกทรงโบราณโบเก และแสนจะไท๊ยไทย และมีกำไลข้อเท้าที่ทำมาจากทองด้วย กล้ามเนื้อที่เปลือยเปล่าในช่วงท่อนบนบึกบึนน่าดูชมเสียจริงๆ
มัวแต่ชื่นชมบุรุษตรงหน้าโดยที่ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองเอาเสียเลย
ทางฝ่ายสุวรรณราพณ์เองก็เหลือบมองสาวเจ้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ‘เจ้าจันทร์’ เธอขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามที่ไม่ว่าสนมเมืองใดที่ไปครองเมืองมาก็สู้ไม่ได้เลยสักคน ผิวเนียนขาวผ่องเป็นยองใย ใบหน้ารูปไข่ ปากนิดจมูกหน่อย สัดส่วนที่พอดีมือใหญ่ๆ ของเขาช่างน่าดูชม ร่างสูงจึงฉีกยิ้มเห็นเขี้ยวโค้งงอ และสัญลักษณ์ไพรเหงือกอย่างพึงใจ
“งดงามสมดั่งคำร่ำลือ” เขาเอ่ยปากชมด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“...”
“แค่เพียงท่านยกนางให้ข้า จักให้คำมั่นสัญญาว่าข้าจักไม่ตีเมืองของท่านอีกเป็นแน่”











































