บทที่ 4 เจ้าจันทร์คือสนมเอกของกรุงยักษา (๓)
“ว้าย!” สิ้นคำพูดนั้น ร่างกายที่เล็กและบอบบางอ้อนแอ้นก็ถูกยกขึ้นนั่งบนตักแกร่งของสุวรรณราพณ์ทันควัน สไบถูกถอดออกไปแล้ว พร้อมกับผ้ารัดอกที่ถูกถอดเป็นอย่างที่สอง หน้าอกขาวผ่องสล้างออกมาสัมผัสอากาศและกลิ่นอบอวลของเทียนหอม
เสียงจิ้งหรีดเรไรเป็นเสียงเดียวที่ดังอื้ออึงข้างกกหูของมธุรสในเพลานี้
ทรวงและปทุมถันคู่นั้น เป็นสีชมพูอ่อนงดงาม สุวรรณราพณ์สางผมสีดำขลับยาวตรงและนุ่มละมุนของเธออย่างอ้อยอิ่ง รั้งมาชิดปลายจมูกโด่งเป็นสันอย่างหลงใหลในเธอ จิตใจที่เดือดพล่านนั้นเย็นลงเมื่อได้เห็นของสวยงาม ริมฝีปากหยักได้รูปกดจูบข้างซอกคอใกล้สันกรามสวย
ส่วนมือใหญ่นั้นก็กอบกุมทรวงอกของเธอไว้ แล้วคลึงด้วยความปรารถนา
มธุรสหน้าแดงแจ๋ ทั้งที่เป็นความฝันแต่ทุกอย่างกลับชัดเจนตรงหน้าเธอ สัมผัสที่ทรวงอกนั้นก็รู้สึกได้เต็มอิ่มเหมือนกับว่านี่คือความจริง นิ้วมือใหญ่คลึงเคล้าเธออย่างละมุนละม่อมเพราะกลัวว่าถ้าบีบไปเต็มแรง อกนิ่มของเธออาจจะเละคาอุ้งมือเสียได้
นุ่มนวล กลิ่นกายหอมหวาน แทบจะทานทนมิไหว
สุวรรณราพณ์แลบลิ้นฉกชิมรสหวานจากซอกคอขาวและหอมกลิ่นดอกมะลิ มธุรสครางเสียงหวาน ปลายนิ้วยักษ์จึงบดบี้เม็ดบัวสีสวยเป็นอย่างถัดไป ความนุ่มละมุนในเรือนร่างแน่งน้อยเนื้อนิ่ม ทำให้เขาอยากลิ้มชิมใจแทบขาด
ตัวเล็กน่าพะเน้าพะนอ ใบหน้าสวยหวานดูเป็นกุลสตรี ผิวขาวจัดอมชมพู และผมยาวตรงสลวย
งดงามถึงเพียงนี้ ข้าถึงได้หมายปองเจ้ามานับร้อยปี
“อื้อ... ตรงนั้นมัน” เธอเปล่งเสียงครวญครางน่าเย้าใจ เพราะความรู้สึกทั้งมวลนั้นเต็มอิ่ม สยิวจนหายใจแทบมิทัน แก้มที่แดงระเรื่อถูกสัมผัสด้วยริมฝีปากหยัก ก่อนที่กลีบปากและเรียวลิ้นเล็กของมธุรสจะถูกช่วงชิงเป็นอย่างถัดไป
มธุรสถูกยักษ์หนุ่มกำราบได้เพราะเพียงรสจูบครั้งที่สอง ดูดดื่มและมัวเมา ตัวเล็กๆ ของเธออ่อนปวกเปียกแทบละลายคาอกหนา ทรวงถูกหยอกเย้าจนแดงแจ๋ ทั้งบี้ทั้งคลึงเสียจนเธอเสร็จสมคาตักแกร่ง จึงได้เวลาที่ยักษ์หนุ่มต้องรุกรานสรีระด้านล่างเสียบ้าง
มธุรสกัดกลีบปากของตนแน่น ร่างกายมิเป็นดั่งใจเอาเสียเลย ราวกับว่าเมื่อบุรุษตรงหน้าสัมผัสเธอที่ตรงใด ก็จะร้อนผ่าวและทิ้งความกรุ่นร้อนอยู่ตามผิวส่วนนั้น มือหนาใหญ่ที่อบอุ่น จับนั่นแตะนี่เพียงพึงใจ เลื่อนลงมาที่เอวคอดและสะดือสวย ลูบไล้ไปตามกายาที่เป็นสัดส่วนโค้งเว้าอย่างสตรีของนาง
จนปลดผ้าซิ่นสีหมากสุกของเธอได้ ผ้าผ่อนสีสดหล่นตุบไปกองลงกับพื้น มธุรสหน้าแดงก่ำ เปิดเปลือยอวดดอกไม้งามที่มีน้ำหวานชุ่มฉ่ำเล็กน้อยตรงเกสร เชิญชวนให้ภมรตัวยักษ์อย่างสุวรรณราพณ์ได้เชยชม
แม้นี่จะมิใช่ร่างกายของเธอก็จริง แต่เพราะวิญญาณจุติมาเกิดในร่างนี้แล้ว เลยรู้สึกเหมือนกับว่านี่คือร่างของตนเองไปแล้ว
ไอ้ความรู้สึกเสียวขยี้แทบขาดใจนี่ก็ด้วย ทุกอย่างมันเหมือนของจริงมาก!
ปลายมชฺฌิมา (นิ้วกลาง) ไล่ระดับลงมายังแอ่งแกนเกสรสวย มันเป็นสีขาวอมชมพูและกลีบงามนั้นปิดสนิทราวกับเด็กสาวแรกแย้ม ไรขนน้อยๆ ขึ้นเป็นอุ้งแซมๆ พอน่าดูชม
งดงามไปทั้งตัว ทั้งหอม ทั้งเย้ายวน กลิ่นกายสาปสาวมันหอมหวานราวกับรสทิพย์จากสวรรค์ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ มิเคยได้เสพกลิ่นหอมของสนมนางไหนแล้วปรีเปรมดิ์เช่นนี้มาก่อน
ไม่แคล้ว เจ้าจันทร์คงเป็นนางสวรรค์ที่จุติมาเกิดบนโลกนี้เป็นแน่แท้
สุวรรณราพณ์ชื่นชมดอกบัวงามที่ผลิบานอยู่ในอุ้งมือหยาบหนาของเขา รู้ดีว่าตนเป็นเพียงแค่ยักษ์ เผ่าพันธุ์อสุรกายที่ไม่ควรสมสู่กับมนุษย์ ยิ่งมนุษย์สูงศักดิ์และงดงามเช่นนาง ยิ่งไม่ควรแตะต้องให้หมองหม่นในเกียรติ
แต่ทว่า... สุวรรณราพณ์นั้นมีจิตสีทมิฬที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอยู่มาก ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นนางฟ้านางสวรรค์ หรือพระธิดาที่งดงามบริสุทธิ์ของกษัตริย์พระองค์ใด
เขารู้ว่านางคือคู่ชะตาชีวิตของเขาเมื่อชาติปางก่อนเท่านั้น
นางคือสาวน้อยหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ที่ช่วยเหลืออสุรกายมิมีวันมอดม้วยมรณาเช่นเขา แม้จักรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ หญิงสาวก็ไม่ได้รังเกียจ เธอยอมตกเป็นเมียของยักษ์กายอัปลักษณ์ตนนั้น เพราะนางรักเขาอย่างมากล้น
ชาตินี้คู่ชะตาของเขากลับมาเกิดใหม่ เป็นสาวนงเยาว์ที่สวยสดงดงามตามบุญที่สร้างมา ซ้ำยังมีบิดาเป็นกษัตริย์ ต่างจากชาติก่อนที่นางเป็นเพียงแค่สาวชาวบ้านขี้ริ้วธรรมดา
ในขณะที่เขากลับมาเกิดใหม่ในพระครรภ์ของพระมารดาที่เป็นกษัตริย์เมืองยักษาแห่งนี้ เกิดมาเป็นกษัตริย์อสุราผู้โหดเหี้ยม บ้าหญิง หลายสนม และเสพมนตร์ขลัง รวมถึงระลึกชาติได้
แม้ว่าจะแตกต่างกันสักแค่ไหน แม้ว่าคู่ชะตาของนางในชาตินี้อาจไม่ใช่เขา
สุวรรณราพณ์ก็จะสาบานตนว่าจะตามหาเธอเรื่อยไป จนกว่าจะได้กลับมาอยู่กินร่วมกันอีกครา
และในเพลานี้... ดอกบัวงามดอกนี้ ตกอยู่ในกำมือของเขาเสียแล้ว
“อะ... อื้อ คุณสุวรรณราพณ์” เสียงหวานหวีดหวิวพอทำให้กระชุ่มใจยิ่งนัก ดวงใจของเธอถูกบดบี้ผ่านเนื้อนุ่ม ผ้าซิ่นหลุดออกจากกายเสียแล้ว กำไลข้อเท้าส่งเสียงกรุ้งกริ้งเมื่ออีกฝ่ายยกเรียวขางามขึ้นเพื่อจะได้สำรวจแกนเกสรได้ถนัด
ท่าทางของเธอและเขาในเวลานี้ช่างเรทอาร์เสียจริง โดยเฉพาะกับความรู้สึกตรงแอ่งเกสร ที่กำลังถูกปลายมชฺฌิมา (นิ้วกลาง) ชอนไช สะบัดปลายนิ้วหยอกล้อกับเมล็ดพันธุ์ของเธอที่บวมเต่งสุกใส ความซาบซ่านบังเกิดจนทำให้แน่งน้อยขนลุกซู่ บิดเกร็งไปมาด้วยความสยิวเกินทานทน
“เพรียกเพียงชื่อข้าก็พอ... เจ้าจันทร์” สุ้มเสียงทระนงแต่กลับขยี้อารมณ์สวาทดังข้างริมหู กดริมฝีปากจูบเบาๆ ที่สันกรามสวยของเธอ ดวงใจดวงน้อยสั่นเร้าจนแทบหลุดลงมากองกับพื้น
“อ๊ะ... คุณ อื้ออออ” ปลายนิ้วแทรกผ่านแกนเกสรสัมผัสความนุ่มนวลด้านใน เข้าออกอย่างเชื่องช้าเพราะแน่นขนัดเหลือทน สาวเจ้าแอ่นกายร้องครวญอย่างสิเหน่หา ยามเมื่อมชฺฌิมาพัดแรงขึ้น น้ำหวานก็ทะลักออกมาจากแกนกลางดอกบัวงามจนชุ่มฝ่ามือ
“แฮ่ก...” มธุรสหอบหายใจราวกับไปวิ่งมาราธอนมาก็ไม่ปาน ดวงใจสั่นตุบตับๆ เหมือนจังหวะรัวกลองในอก เชิญชวนให้กายาใหญ่นั้นกระตุกยิ้มยวน ยกฝ่ามือใหญ่ที่เปียกชุ่มจ้องมองน้ำหวานบนอุ้งมืออย่างหลงใหล
“หวานสมกับกายเจ้า” สุรเสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างกกหูอีกครั้ง พร้อมกับลิ้มรสน้ำหวานในอุ้งมืออย่างเปี่ยมล้นไปด้วยไฟราคะในดวงจิต “หอมและหวาน ราวกับข้าได้ชิมน้ำผึ้งก็มิปาน”
เขาหยอกเย้าด้วยการโอ้โลมตัวนาง ร่างกายของนาง รวมถึงรสชาติของนางเช่นกัน
มธุรสกัดริมฝีปากแน่น เธอหอบหายใจ สั่นกระตุกเป็นระยะ รู้สึกราวกับว่าเพิ่งผ่านสงครามอันหนักหน่วงมา
“ฮึก... คุณสุวรรณราพณ์ใจร้าย” เธอเบ้หน้าร้องไห้ออกมาทันทีเมื่อคืนสติ ปล่อยให้พญายักษานิ่งตะลึงงั้นกับท่าทีที่เปลี่ยนไป เจ้าตัวน้อยนั้นปาดหลังมือกับดวงตาที่เอ่อล้นด้วยหยาดน้ำใส สะอึกสะอื้นราวกับเด็กน้อย “หนูกลัวแล้ว ไม่เอาแล้ว ฮึก”
“...”
“ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว”
ว่ากันว่า... มธุรสนั้นเป็นเด็กสาวที่ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก จนเธอโหยหาความรักมาก ชีวิตที่แสนน่าเวทนา และต้องตายลงในอายุขัยแค่ยี่สิบห้าปีโดยมิได้ทำอันใดที่สมควรจะทำ ไม่สมควรได้เสพสุขสันต์ในสิ่งที่ควรจะมี ดวงจิตก่อนตายในครั้งสุดท้าย นอกจากจะขอผัวแล้ว ก็อยากให้ตัวเองกลับมารู้สึกดั่งเช่นสาวรุ่นเยาว์อีกครา จนได้จุติมาเกิดในร่างของเด็กสาวเยาว์วัยคนนี้
ช่วงชีวิตวัยรุ่นที่ถูกแต่งแต้มแค่เพียงความหงอยเหงา โดดเดี่ยว และไร้มิตรของเธอนั้น
อาจจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในโลกนี้ก็เป็นได้
ทอล์กท้ายบท
เรื่องนี้อิงตามบทหรือคาร์เเรคเตอร์จากในวรรณคดีเป็นส่วนใหญ่
ตัวละครจึงมีส่วนนิสัยที่อิหยังวะไม่เป็นไปตามสมัยนิยมในครรลองยุคปัจจุบัน
มีตรรกะประหลาดที่สมัยปัจจุบันรับไม่ได้ หรือไม่ยอมรับ อย่างเช่น หลายเมีย เป็นต้น
การล่าอาณานิคม ฆ่าฟัน ล้วนอยู่ในขนบสมัยนั้น เเละเเน่นอนว่ามีเหตุผลรองรับทุกการกระทำ
หากมีส่วนไหนทำให้ไม่ถูกใจขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ
เรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์อะไรนะ นับเป็นยูนิเวิร์สหรือโลกคู่ขนานได้เลย
เราเเต่งตามอารมณ์ + จินตนาการล้วนๆ จ้า
