บทที่ 5 เจ้าจันทร์คือสนมเอกของกรุงยักษา (๔) จบตอน

ในนิมิต มธุรสมองเห็นตัวเธอในอายุสิบเจ็ดปี ที่นั่งอยู่เดียวดายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มากนัก

หญิงสาวผอมเพรียวไร้สัดส่วนโค้งเว้า สวมแว่นสายตาหนาเตอะ นั่งทำการบ้านกองโตของตนเองเพียงลำพัง ไร้พ่อแม่เคียงข้าง ไร้ไออุ่น เนื่องจากพอจาตุรงค์เสียชีวิตตั้งแต่เธอยังอายุเพียงแค่สิบสองปี ส่วนแม่ก็ตรอมใจจากการตายของสามี กลายเป็นโรคซึมเศร้าต้องรับประทานยากดประสาททุกวัน ส่วนลูกสาวในอายุสิบเจ็ดปี ก็ได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวตั้งแต่ยังน้อย

เธอทำทุกอย่างที่พอจะทำให้เป็นเงินได้ แม่ที่ไร้ความสามารถที่จะเลี้ยงดูจุนเจือครอบครัวเพราะจิตใจแปรปรวนนั้นทำให้มธุรสเติบโตมาด้วยลำแข้งของตัวเองเพียงลำพัง ไม่มีเพลาจักไปหาคนรักหรือคู่ครองของตัวเองเลย

เธอเป็นผู้ใหญ่ที่ยังคงจมอยู่กับโลก 2D และโลกเสมือนจริง บางครั้งก็ชอบทำตัวเหมือนเด็กจนน่าระอา

มธุรสชื่นชอบโลกของวรรณกรรม นวนิยาย เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอหนีออกจากโลกความเป็นจริงได้ชั่วคราว โลกที่เต็มไปด้วยความสวยงาม สามารถรังสรรค์ได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา ไม่ใช่โลกที่เธอนั้นดำเนินชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว

ใบหน้าของสาวเจ้าหมองเศร้า เบือนสายตาหนีจากภาพอันอ้างว้างนั้นอย่างไม่อยากดู ตรงหน้าของเธอจึงฉายเป็นภาพมอนิเตอร์ของตัวเจ้าจันทร์ในฝันของเธอ

‘ชะตาของเจ้าถูกกำหนดขึ้นมาเช่นนี้แล้ว เจ้าจักกลายเป็นเจ้าจันทร์ ส่วนเจ้าจันทร์นั้นไซร้คือกายเนื้อของเจ้า’

เสียงทุ้มน่ากังขากังวานมาตามลม มธุรสพยายามหันรีหันขวางเพื่อมองหาต้นตอของสุรเสียงดังกล่าว แต่หาได้พบเจอใคร มีเพียงความมืดโอบรอบกาย ตรงหน้าเป็นเพียงภาพจอมอนิเตอร์อันสว่างโร่เท่านั้น

ภาพตรงหน้ากลายเป็นภาพของหญิงสาวนามว่าเจ้าจันทร์ที่เธออยู่ในร่างของนาง สวมสไบงดงาม แต่นางท้องโตโยเย และลูบท้องกลมอย่างรักใคร่

นั่นคืออะไร...!

“เฮือก!”

สิ้นภาพนั้น มธุรสก็ลืมตาตื่นขึ้นในห้องบรรทมห้องเดิมกับครั้งที่เธอเสร็จสมใจกับยักษ์ที่มีนามว่าสุวรรณราพณ์ตนนั้น ดวงตากลมโตกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง

แปลว่าเมื่อสักครู่นี้คือฝัน แต่เป็นฝันที่ซ้อนฝันอีกที เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนยังอยู่ในความฝันก่อนจะสลบไสลไป แสดงว่านี่ก็คือความจริง

ว่าแล้วก็ก้มลงมองร่างกายของตัวเองที่บัดนี้เปลือยเปล่าล้อนจ้อน

“คุณพระ!” ยกมือทาบอก ฮะหรือ ฮะหรือ ฮะหรือว่า

เธอจะเสร็จสมดั่งใจหมายกับยักษ์ตนนั้นเสียแล้ว!

“มิต้องหวั่นเกรงไปดอก เจ้ายังมิได้ตกเป็นเมียข้า” สุ้มเสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินครั้งแรกก็ไม่รู้ลืมว่าเป็นใครดังขึ้นแกมรู้ทัน สาวเจ้ารีบคว้าผ้าห่มมาคลุมกาย หันไปป้องสายตาเข้ากับแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยอักขระขอมโบราณ มัดกล้ามที่แค่มองเพียงด้านหลังก็ทราบได้ว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งไร้เทียมทานแค่ไหน ผมหยักโศกยาวระแผ่นหลังถูกรวบครึ่งศีรษะเป็นมวยหลวมๆ ตามประสาชายชาตรี “เจ้าหมดสติไปในระหว่างบทรักของเรา จำได้หรือไม่?”

พอได้ฟังแบบนั้นมธุรสก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกออกมา หมายความว่ายังไม่ได้ตกเป็นเมียของเขาสินะ

“... คุณไม่ควรล่วงละเมิดหนูแบบนั้นนะคะ นี่ไม่ต่างกับการขืนใจเลยสักนิด” ว่ากันว่าอมนุษย์นั้นมีอายุเป็นอมตะ แถมดูจากหญิงสาวในร่างก็น่าจะเด็กกว่าเขามากสักร้อยปี ก็เลยเรียกแทนตัวเองว่าหนู แต่มธุรสคือสาวเวอร์จิ้นผู้แอนตี้นิยายพระเอกขืนใจนางเอกมากที่สุด ไม่อยากได้ผัวคนแรกที่เกิดจากการขืนใจในแบบที่ไม่ชอบธรรมหรอกนะ “ไม่เหมาะสมเลยนะคะ แบบนี้ผิดกฎหมายมาตรา ๒๗๖๑ ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท”

สาวเจ้าร่ายกฎหมายตามคณะนิติศาสตร์สี่ปีที่เรียนจบมา (ถึงสุดท้ายจะทำงานไม่ตรงสายที่เรียนก็ตาม) เสียยาวเหยียด โดยลืมไปว่าตนเองอยู่ในเมืองที่เป็นของอีกฝ่าย

“ที่นี่คือกรุงยักษา มิมีกฎหมายใดใหญ่ไปกว่าข้า” ดวงหน้าคมกร้าวเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ สาวเจ้าหวงแหนกายตนทั้งๆ ที่เมื่อคืนเกือบตกเป็นดอกบัวงามในกำมือของเขาไปแล้ว ช่างเป็นการดิ้นรนที่น่าเอ็นดูเสียจริง “เป็นแค่เพียงเชลย ก็ตกเป็นเมียข้าในเร็ววันเถิด”

“มะ... ไม่นึกเลยนะคะว่าทั้งที่พร่ำพูดว่าชอบหนูถึงขนาดนั้น แต่กลับมาบังคับขู่ใจกันถึงขนาดนี้”

มธุรสคิดแบบนั้นจริงๆ เพราะอสุราตนนี้พร่ำบอกตลอดทางจนถึงกรุงแห่งนี้ว่าหลงใหลเจ้าจันทร์มากมาย แต่เมื่อมาถึงที่หมาย ก็ข่มเหงรังแกเธอ (ที่สิงอยู่ในร่าง อย่างน้อยก็คิดว่างั้นนะ) ราวกับว่าผู้หญิงเป็นเพศที่จะสามารถใช้วิธีใดเพื่อพิชิตใจก็ได้ เป็นวิถีชายเป็นใหญ่อย่างที่สมัย ๒o๒๒ พยายามรณรงค์กันเสียจริงๆ

“มิว่าที่ใดก็ทำกันอย่างนี้มิใช่รึ” หากแต่ยักษากายาใหญ่กลับคิดว่าสิ่งที่ตนเรียนรู้มาจากมนุษย์นั้นถูกต้องแล้ว เท่าที่สังเกตการณ์ ถ้าต้องการเมีย ก็แค่บุกไปชิงตีเมืองของอีกฝ่าย แล้วใช้โอกาสนั้นดึงพวกนางมาเป็นสนมก็พอไม่ใช่หรือ

“คุณเป็นถึงพระราชา แต่ทำไมตกยุคแบบนี้อ่ะ” มธุรสเองก็ไม่มีอะไรจะเสีย คิดว่าถ้าเผลอหลับไปสักครั้งละก็ เธออาจจักตื่นจากฝัน แต่ในเมื่อไม่ว่าจะเป็นโลกฝั่งไหนก็เลวร้ายพอๆ กัน อย่างน้อยก็ขอดำรงอยู่ในร่างที่สวย และตกผู้ได้แค่เพียงปรายตากลมโตน่ารักนั้นแลแค่เพียงหางตาก็พอ อีกอย่างเพราะในโลกอนาคตเป็นผู้หญิงที่ปรับตัวเข้ากับอะไรได้เร็ว และคงความช่างแม่งไว้สูงมาก “สมัยก่อนมีการเกี้ยวพาราสีไม่ใช่เหรอคะ อย่างน้อยก็ควรจะทำอย่างนั้นกับหนูก่อนสิ”

“ข้ามิถนัดการเกี้ยวพาราสีเท่าใดนัก” มือใหญ่เลื่อนขึ้นมาลูบปลายคางของตนแสดงอาการครุ่นคิด สุวรรณราพณ์กำลังสำรวจอีกฝ่าย เจ้าจันทร์คนนี้ช่างพิกลนัก ปกติแล้วเมื่ออยู่ที่วังต่อหน้าพระบิดาของนาง จะเป็นสาวพูดน้อย เรียบร้อยราวกับกุลสตรีไม่ใช่หรือ แต่บัดนี้กลับพูดเจื้อยแจ้วไม่กลัวตาย ทั้งที่อีกฝ่ายที่ต่อฝีปากด้วยเป็นถึงกษัตริย์อสุราผู้เกรียงไกร “ปกติเมื่อพามาที่นี่ คืนแรกจักต้องเป็นคืนเข้าหอเสียทันใด”

หากแต่สุวรรณราพณ์ก็พอใจที่นางเป็นเช่นนี้ บางครั้งการเป็นกุลสตรีที่มิมีปากเสียงต่อผู้เป็นผัว ก็เป็นขนบที่ออกจะเก่าคร่ำครึจนเกินไป ต้องดูเป็นหญิงสาวปากแจ๋วเช่นนี้สิถึงจะดี

คนตัวเล็กยกมือขึ้นมานวดขมับ ให้พูดตามตรงก็คืออีกฝ่ายเป็นชายเจ้าสำราญผู้ไม่รู้จักการจีบ รู้จักเช่นเดียวคือถูกใจก็พาไปร่วมหอกันเลยสินะ

ท่าจะลำบากซะแล้วค่ะสาว

“งั้นได้โปรดอย่าเพิ่งลึกซึ้งกับหนูจนกว่าหนูจะให้สัญญาณว่าจะเป็นของคุณได้มั้ย?” สาวเจ้ารู้จักใช้สรรพนามแบบเด็กสาวและสายตากลมโตราวกับลูกแก้วสุกใสจ้องมองยักษ์หนุ่มอย่างใสซื่อ นางกระพริบตาสองสามทีเพื่อรอคำตอบจากอีกฝ่าย ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่กษัตริย์อสุราเช่นเขาต้องรอที่จะเสพสังวาสกับหญิงสาวที่ลักมาเป็นสนม “... นะคะ”

วาจาอ่อนหวาน เป็นการเว้าวอนแบบเด็กสาว ที่ไม่รู้ทำไมสุวรรณราพณ์ถึงฉีกยิ้มพรายออกมา

“ข้ามิให้คำมั่นดอก”

“...”

“เจ้าก็รู้ดี... นี่ก็เป็นเพียงแค่การยื้อเพลาไว้ชั่วขณะหนึ่ง” มือใหญ่เอื้อมมาแตะที่เส้นผมยาวสีดำขลับที่ยุ่งเหยิงยามเพิ่งตื่นจากหลับฝันอันยาวนานของเธอ ก่อนที่จะดึงเส้นผมนั้นขึ้นมาจรดริมฝีปาก “มิมีภมรตัวใดจักทนกับกลิ่นหอมหวานจากเกสรของเจ้าได้ และหนึ่งในนั้นคือข้า”

คนตัวเล็กเม้มริมฝีปาก นั่นทำให้สาวเจ้าดูน่าเอ็นดูเหลือเกิน แก้มนวลนั้นแดงปลั่งราวกับมะเดื่อสุกเมื่อสะเทิ้นอายจากคำหยอด ยักษ์หนุ่มจ้องมองอีกฝ่ายอย่างหลงใหล ก่อนที่จะหยัดกายลุกขึ้นเต็มความสูง

“ไปทำความรู้จักกับสนมทั้งสิบของข้าเสียหน่อยก็แล้วกัน”

“...”

“เผื่อพวกนางจักเล่าเรื่องของข้าให้เจ้าฟังบ้าง เนื่องจากข้ามิมีเพลาที่จะเล่าเรื่องของตนนัก”

มธุรสเบ้ปาก จักให้ไปทำความรู้จักกับหญิงสาวที่ทำท่าเขม่นเธอราวกับกำลังจะแย่งความรักจากสุวรรณราพณ์ของพวกเธอไปน่ะหรือ ไม่มีทางเสียหรอก ดีไม่ดีอาจจักโดนหมายหัวเอาซะเปล่าๆ

อีกอย่าง... ไม่ได้อยากรู้จักเขาเสียหน่อย!

ทอล์กท้ายบท

เรื่องนี้อิงตามบทหรือคาร์เเรคเตอร์จากในวรรณคดีเป็นส่วนใหญ่

ตัวละครจึงมีส่วนนิสัยที่อิหยังวะไม่เป็นไปตามสมัยนิยมในครรลองยุคปัจจุบัน

มีตรรกะประหลาดที่สมัยปัจจุบันรับไม่ได้ หรือไม่ยอมรับ อย่างเช่น หลายเมีย เป็นต้น

การล่าอาณานิคม ฆ่าฟัน ล้วนอยู่ในขนบสมัยนั้น เเละเเน่นอนว่ามีเหตุผลรองรับทุกการกระทำ

หากมีส่วนไหนทำให้ไม่ถูกใจขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ

เรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์อะไรนะ นับเป็นยูนิเวิร์สหรือโลกคู่ขนานได้เลย

เราเเต่งตามอารมณ์ + จินตนาการล้วนๆ จ้า

บทก่อนหน้า
บทถัดไป