บทที่ 3 รองรับอารมณ์
อาหารบนโต๊ะถูกจัดวางอย่างสวยงามจนน่ารับประทานเฉกเช่นทุกวัน มารุตในเครื่องแต่งกายเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก้าวมาในห้องอาหารเป็นคนแรก ดวงตามองไปยังร่างระหงที่ก้าวเข้ามา
โยษิตาไม่ยอมสบตาคมกริบคู่นั้น มือเรียวตักข้าวใส่จานให้อีกฝ่าย แล้วกำลังจะถอยห่างแต่กลับถูกมือใหญ่ซุกซนบีบเบาๆ ที่บั้นท้ายงอนงาม จนเจ้าของบั้นท้ายอวบอุ่นหน้าร้อนซู่รีบถอยห่างออกไปทันที เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างงามพริ้งของวารุณีก้าวเข้ามาพร้อมสามีของหล่อน ดวงตาคู่สวยที่ถูกตกแต่งอย่างดีไหววูบเมื่อทันเห็นมือใหญ่ของมารุตเพิ่งละจากบั้นท้ายของแม่บ้านสาวสวย แต่ใบหน้าคมคายของเขาเรียบเฉย ไม่ได้แสดงอารมณ์
“โทษทีพ่อตื่นสายไปนิด” เมธัตบอกกับลูกชายยิ้มๆ สายตาปรายมองไปที่ภรรยาสาว ผู้เป็นสาเหตุให้ตนต้องตื่นสายในเช้านี้ ทว่าลูกชายของเขาเพียงแค่ไหวไหล่เบาๆ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น นั่นทำให้วารุณียิ่งร้อนวูบวาบในช่องอก ดวงตาตวัดมองไปที่ร่างกลมกลึงของแม่บ้านสาวของสามี นึกเกลียดใบหน้าสวยที่มีแต่ความเย็นชาเป็นนิจนั้นขึ้นใจ…
“ผมก็เพิ่งตื่นเหมือนกันครับ” เขาบอกพ่อ ริมฝีปากมีรอยยิ้มนิดๆ สายตาเลื่อนไปหยุดยังร่างที่ยืนเยื้องบิดาของตนออกไป ทำให้เมธัตมองไปที่โยษิตาราวกับรู้ทัน ได้แต่อมยิ้มในขณะที่แม่บ้านสาวสวยกลับเม้มปาก รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้ากับสายตาราวจะประกาศของมารุต
วารุณีเม้มปากฉับ ตวัดตาค้อนสาวสวยที่มีฐานะเพียงแม่บ้านด้วยอารมณ์กรุ่นๆ ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงติดประชดประชันว่า
“ช่วยเติมข้าวให้หน่อยสิคะคุณแม่บ้าน อย่ามัวแต่ยืนเหม่อเหมือนคนที่ยังตื่นไม่เต็มตาแบบนั้นหน่อยเลย”
สิ้นเสียงหวานประชดประชันโยษิตาก็ก้าวเข้ามาพร้อมตักข้าวใส่จานให้ทันที ก่อนจะถอยออกไปยืนในที่ของตน รู้สึกขุ่นเคืองใจแต่ก็ทำได้เพียงแค่เก็บเอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยเท่านั้น
ใช้เวลาเพียงสิบห้านาที มารุตก็ลุกออกจากโต๊ะ เขาเหลือบตา มองโยษิตาแวบเดียว หญิงสาวจึงต้องก้าวตามอีกฝ่ายออกไปเหมือนทุกวัน
เมื่อร่างสูงเข้าไปนั่งภายในรถยนต์ หญิงสาวจึงส่งเอกสารสำคัญให้ เขาสบตาหล่อนนิ่ง ริมฝีปากมีรอยยิ้มจาง ขณะที่ร่างบางก้าวถอยออกมายืนส่งเขาที่ขั้นบันได จากนั้นรถยนต์คันโตที่มีคนขับรถประจำก็เคลื่อนตัวออกไป แม่บ้านสาวผ่อนลมหายใจยาวแล้วหมุนตัวกลับเข้าข้างใน ทว่าต้องชะงักเมื่อร่างระหงของวารุณีก้าวมาหยุดขวางหน้าเอาไว้ ภรรยาสาวสวยของคุณเมธัตยกมือขึ้นกอดอก สายตากวาดมองแม่บ้านสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ริมฝีปากแสยะยิ้มอย่างดูแคลน
“ทำไมไม่ตามไปเสิร์ฟจนถึงบริษัทเลยล่ะ เสิร์ฟเช้า กลางวัน เย็น แล้วก็ก่อนนอน”
โยษิตาเหลือบตาขึ้นมองผู้หญิงรูปสวยแต่ปากเสียตรงหน้าด้วยแววตาเรียบนิ่ง มือทั้งสองกุมแนบที่บริเวณหน้าท้อง
“ไม่มีคำสั่งจากคุณรุตค่ะ”
ได้ยินดังนั้นคนฟังแสยะยิ้ม ก้าวช้าๆ เดินวนรอบตัวของโยษิตา
“อ้อ ถ้าเขาสั่ง เธอคงวิ่งแนบตามไปปรนเปรอ อุ๊ย!”
ยกมือขึ้นป้องปากเมื่อแม่บ้านสาวตวัดสายตาขึ้นมอง ก่อนจะหัวเราะคิก “ขอโทษพูดผิด จะบอกว่า เธอคงจะรีบตามไปปรนนิบัติเขาทันทีสินะ ถ้าได้รับคำสั่งน่ะ”
หญิงสาวยังคงมองคนพูดจากระแนะกระแหนเสียดสีตนด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่ยอมให้คำพูดดูแคลนที่ถูกสาดเข้ามาทำให้เกิดความโกรธจนขาดสติ
“ดิฉันเป็นเพียงลูกจ้าง หากเจ้านายสั่ง ดิฉันก็ต้องทำตาม”
คำตอบของหญิงสาวตรงหน้าทำให้มือที่กอดอกทิ้งลงแนบลำตัว ใบหน้างดงามบิดเบี้ยวด้วยความโกรธขึ้ง แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรต่อ สาวใช้อีกคนก็ก้าวออกมาจากภายในบ้าน
“คุณวาคะ คุณท่านเรียกหาค่ะ”
วารุณีกำมือแน่น ตวัดสายตามองสาวใช้คนนั้นแวบหนึ่งก่อนหันกลับมามองโยษิตา คลายมือที่กำเอาไว้ออก ยิ้มเยาะก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าข้างในทันที
มาลีรอจนภรรยาเจ้านายเดินจากไปแล้วจึงขยับเข้าไปหาหัวหน้าแม่บ้านสาวสวยด้วยความเป็นห่วง
“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่โย”
โยษิตาสบตาของสาวใช้รุ่นน้องก่อนส่ายหน้ายิ้มๆ
“ไม่มีอะไรหรอกมาลี ว่าแต่ไหมเปลี่ยนผ้าม่านในห้องรับรองแขกแล้วหรือยัง” โยษิตาตัดบท ด้วยการเอ่ยถามเรื่องผ้าม่านแทน
“กำลังช่วยกันเปลี่ยนค่ะพี่โย”
หญิงสาวพยักหน้า
“งั้นพี่ไปดูพวกนั้นก่อน ฝากข้างล่างด้วยนะมาลี”
“ได้ค่ะ”
“ขอบใจ” ว่าแล้วโยษิตาก็เดินตรงไปยังห้องรับรองแขก เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าเพื่อนของมารุตจะเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และเข้าพักที่คฤหาสน์จิรประทีปต์
“เฮ้อ!” มาลีถอนหายใจดัง มองตามร่างเพรียวงามของโยษิตาด้วยความเห็นใจ แต่ก็นึกชื่นชมในความอดทนของหญิงสาวรุ่นพี่คนนี้อย่างเต็มหัวใจเช่นกัน
